หอการค้าไทยเตือนเกษตรกรไทยเร่งปรับตัวรับมือภาษีทรัมป์ 19% พร้อมผลักดันความร่วมมือรัฐ–เอกชน พัฒนาเกษตรไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก สร้างความมั่นคงทางอาหารและรายได้ที่ยั่งยืนให้ภาคเกษตรไทย

การเกษตร - 4 ก.ย. 2568

หอการค้าไทยเตือนเกษตรกรไทยเร่งปรับตัวรับมือภาษีทรัมป์ 19% พร้อมผลักดันความร่วมมือรัฐ–เอกชน พัฒนาเกษตรไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก สร้างความมั่นคงทางอาหารและรายได้ที่ยั่งยืนให้ภาคเกษตรไทย

News Cover
News Cover

วันที่ 4 กันยายน 2568 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมเป็นวิทยากรเสวนา เรื่อง "เกษตรกรรมไทยปรับตัวอย่างไร ภายใต้ภาษีทรัมป์" จัดโดย หลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง ณ โรงแรม รามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ โดยได้นำเสนอประเด็นสาระสำคัญ ดังนี้

มาตรการภาษีทรัมป์กับการรับมือของประเทศไทยในอัตราภาษี 19% ที่ไทยได้รับถือว่ามองในเชิงบวกแต่มีท้าทายมาก เพราะถ้าผลการเจรจาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ไทยอาจถูกกำหนดอัตราสูง 36% ซึ่งจะกระทบความสามารถในการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ใช้นโยบาย "Reciprocal Tariffs" ที่ตั้งเป้าหมายสร้างสมดุลทางการค้ากับทุกประเทศ ในระยะสั้นความได้เปรียบเหนือคู่แข่งไม่ได้เป็นปัญหาหลัก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ "ใครควรเป็นผู้รับภาระ" ซึ่งจำเป็นต้องมีการแบ่งรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้ค้า ทั้งฝั่งผู้ส่งออก (Exporter) และผู้นำเข้า (Importer) เนื่องจากปัจจุบัน แทบไม่มีอุตสาหกรรมส่งออกใดของไทยที่สามารถทำกำไรได้สูงถึง 19% เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน ไทยอยู่ในกลุ่มอัตราเดียวกันกับ มาเลเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และต่ำกว่าเพียงเล็กน้อยจากเวียดนาม (20%) ทำให้ความสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ยังรักษาได้ แต่ Reciprocal Tariffs ยังอยู่ที่ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ พิจารณาซึ่งรอผลและต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

หากพิจารณาสถานการณ์ Reciprocal Tariff สินค้าเกษตรไทย–สหรัฐฯ ยังเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทายมากมาย อาทิ ประเทศไทยยังเสียเปรียบเวียดนามในการส่งออกข้าวหอมมะลิไปสหรัฐฯ แม้จะมีปริมาณส่งออกกว่า 60,000 ตันต่อเดือน แต่ราคายังสูงกว่าคู่แข่งเฉลี่ย 900–1,200 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 600–700 ดอลลาร์ ทำให้ยังเป็นรองด้านราคาแม้ภาษีนำเข้าต่างกันเพียง 1% ในด้านสินค้าประมง โดยเฉพาะทูน่าและกุ้ง ซึ่งเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของการส่งออก คาดว่ามูลค่าจะลดลงกว่า 2,800 ล้านบาท ตามข้อมูลจากกรมประมง สำหรับผลิตภัณฑ์ยาง ไทยครองส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ 31.6% แม้ถูกเก็บภาษีเท่ากับอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ 19% แต่ยางมาเลเซียยังมีคุณภาพเหนือกว่าไทย

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยได้รับผลดีจากการยกเว้นภาษีนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เหลือ 0% ช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ เพิ่มความสามารถแข่งขันของอุตสาหกรรมปศุสัตว์และการส่งออก รวมถึงลดปัญหามลพิษจากการเผาซังข้าวโพด และในส่วนผู้บริโภคไทยจะได้ประโยชน์จากการนำเข้าผลไม้เมืองหนาวและถั่วจากสหรัฐฯ เช่น แอปเปิล เชอรี่ องุ่น และถั่วชนิดต่าง ๆ หากภาษีนำเข้าเหลือ 0% คาดไทยจะนำเข้าไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาทต่อปี เป็นต้น

ทั้งนี้ หอการค้าไทย มองว่าบทเรียนจากมาตรการ Reciprocal Tariffs สะท้อนความสำเร็จของการทำงานเชิงรุกแบบ "TEAM THAILAND" ระหว่างรัฐและเอกชน ที่ช่วยให้ข้อเสนอภาคธุรกิจถูกส่งตรงถึงผู้กำหนดนโยบาย และมาตรการที่ออกมามีความสอดคล้องกับสถานการณ์จริง อีกทั้ง ยังถือเป็นโอกาสสำคัญของไทยในการปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันต่อการค้าโลก พร้อมผลักดันเกษตรกรจาก "ผู้ส่งออกดั้งเดิม" สู่ "ผู้พัฒนานวัตกรรมและคุณค่า" โดยเสนอแนวทางยกระดับ Food Security โดยต้องสนับสนุนธุรกิจบริการเกษตรครบวงจรและเกษตรอัจฉริยะ การรวมกลุ่มเกษตรกรใช้ AI เพิ่มผลผลิต และการส่งเสริมแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า

หอการค้าไทยยังย้ำว่าภาครัฐต้องเร่งสื่อสารข้อมูลที่สำคัญให้เอกชนรับรู้ทันเวลา เดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และเร่งเจรจา FTA โดยเฉพาะไทย–สหภาพยุโรป เพื่อเปิดตลาดการค้าใหม่ที่มีศักยภาพ

แท็ก:#การเกษตร#อาหาร#การค้า#ต่างประเทศ

ข่าวสารล่าสุด

ดูข่าวทั้งหมด

ข่าวสารเกี่ยวข้อง

สิทธิประโยชน์

ดูเพิ่มเติม

พร้อมก้าวสู่ความสำเร็จทางธุรกิจไปกับเราหรือยัง?

สมัครสมาชิก