วันที่ 15 กันยายน 2568 ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานกรรมการ คุณอดิศร์ กฤษณวงศ์ กรรมการบริหาร และประธานคณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป พร้อมด้วย คุณอดิศร เดชอัคราช รองประธานคณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป คุณเจษฎา จิระรงพัฒน์ กรรมการและเลขานุการ และ คุณประมวล เขียวขำ รองประธานหอการค้าจังหวัดสระแก้ว ลงพื้นที่ศึกษาและหารือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ณ สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว โดยมีคุณอำนวย ทงก๊ก ประธานสหกรณ์โคนมวังน้ำเย็นให้การต้อนรับ
สถานการณ์โคนมในปี 2568 เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทยยังต้องเผชิญความท้าทายจากการเปิดเสรีการนำเข้านมผงจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมนมไทย เนื่องจากต้นทุนการผลิตอื่น ๆ เช่น ค่าอาหารสัตว์และค่าการจัดการต่างๆยังคงสูง โดยข้อมูลรายงานสถานการณ์โคนมไทย ปี 2568 (ที่มา : กรมปศุสัตว์) พบว่า จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั่วประเทศประมาณ 15,756 ราย จำนวนแม่วัวรีดนมกว่า 563,030 ตัว คาดการณ์ให้ปริมาณน้ำนมดิบปี 2568 ประมาณ 1.03 ล้านตัน สำหรับด้านการค้าระหว่างประเทศ กลับพบความผันผวน โดยในเดือนมกราคม-มิถุนายน 68 มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นเป็น 165,433.15 ตัน ในขณะที่ การส่งออกผลิตภัณฑ์นมลดลงเหลือ 198,547.18 ตัน เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ประเทศไทยมีแหล่งที่มีการเลี้ยงโคน้ำนมดิบที่สำคัญ ได้แก่ จังหวัดสระบุรี 122,926 ตัว , นครราชศรีมา 89,368 ตัว , ลพบุรี 58,306 ตัว , เชียงใหม่ 41,951 ตัว , ราชบุรี 29,600 ตัว , ประจวบคีรีขันธ์ 27,746 ตัว และ นครปฐม 23,912 ตัว ซึ่งภาพรวมสะท้อนให้เห็นว่า แม้อุตสาหกรรมโคนมไทยยังคงมีศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังมีโอกาสในการขยายตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องกำหนดนโยบายเพื่อรักษาความสมดุลในห่วงโซ่อุตสาหกรรมโคนมไทย
สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น มีศักยภาพในการเลี้ยงโคนม โดยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพน้ำนมผ่านการใช้ Smart Farm สามารถติดตามการกินอาหารและการนอนหลับของแม่โคเป็นรายตัว มีระบบรีดนมอัตโนมัติและการจัดการการเลี้ยงที่ดีเยี่ยม ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณคุณภาพน้ำนมให้ได้มาตรฐานสูง สหกรณ์ยังให้บริการสนับสนุนสมาชิกในด้านต่างๆ เช่นการให้คำแนะนำ, การผสมเทียม, การรักษาโรคสัตว์, และการปรับปรุงพันธุ์โคนม และสหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น ยังเป็นโรงงานแปรรูป ผลิต ผลิตภัณฑ์นมที่ใหญ่และได้มาตรฐานสากลมากที่สุดแห่งหนึ่งของไทย มีศักยภาพสูงในด้านการยกระดับคุณภาพน้ำนมดิบ มีผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มและนม UHT โดยมีบริษัทระดับโลกเช่น Danone Foremost และOvaltin แต่งตั้งให้เป็นผู้ผลิตนมพร้อมดื่มและส่งจำหน่ายทั้งในประเทศไทยและอาเซียน เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัตถุดิบด้วยการแปรรูปน้ำนมดิบที่รับซื้อจากสมาชิก เป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงให้แก่สมาชิก
จากการลงพื้นที่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ที่ประชุมมีข้อเสนอได้แก่
1. ส่งเสริมนโยบายการซื้อ-ขายล่วงหน้า ควรมี MOU(ผลิต/รับซื้อ) อย่างน้อย 5 ปี ระหว่างภาคเอกชนและกลุ่มเกษตรกร เพื่อแก้ปัญหาระหว่างภาคเอกชนที่ไม่มั่นใจในปริมาณน้ำนมดิบในการผลิตและภาคเกษตรกรที่ประสบปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดแต่ได้อย่างเป็นรูปธรรม
2. สนับสนุนให้นำกองทุน FTA มาใช้ในการพัฒนาในเชิง Competitive Funding เช่นงานวิจัยปรับปรุงคุณภาพการผลิตน้ำนมดิบ การเพิ่มผลผลิตนมต่อแม่ต่อวัน การแปรรูปนมผง เพื่อเพิ่ม Value Added ให้กับน้ำนมดิบ
3. เร่งรัดปรับโครงสร้างการผลิตและส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชอาหารสัตว์(อาหารหยาบ)ที่เหมาะสมกับโคนมในทุกกลุ่มเกษตรกร
4. กำหนดให้บริษัทผู้ผลิตนมพร้อมดื่มต้องรับซื้อน้ำนมดิบและผลิตภัณฑ์ในประเทศให้หมดก่อนจึงจะสามารถนำเข้าได้
เร่งดำเนินการจัดระเบียบส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และสหกรณ์การเกษตรฯ อย่างเป็นระบบ เพื่อกำหนดนโยบายในการลดต้นทุนการเลี้ยงโคนม การจัดสรรโควตานมโรงเรียนอย่างเป็นรูปธรรมและยุติธรรม การหาช่องทางการตลาด รวมถึงการรณรงค์ให้ประชาชนบริโภคนมเพิ่มขึ้น
5. จัดสัมมนาระดมความคิดเห็นด้านโคนม โดยหอการค้าไทย จะประสานภาครัฐ สหกรณ์โคนม บริษัทผู้ผลิตนมพร้อมดื่ม และ TDRI เพื่อจัดทำ Position Paper ของประเทศ
6. ส่งเสริมแนวคิดให้รัฐบาล “จัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาเพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตร”

























