หนึ่งใน Highlight สำคัญของงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ คือ การนำเสนอสมุดปกขาว หอการค้าไทย ปี 2568 ต่อรัฐบาล ถึงแม้สถานการณ์น้ำท่วมจะส่งผลกระทบต่อการจัดงาน แต่หอการค้าไทยยังคงมุ่งมั่นในการส่งมอบข้อเสนอสำคัญสู่รัฐบาล โดยกำหนดการนำเสนอสมุดปกขาว หอการค้าไทย ปี 2568 ต่อ คณะรัฐบาลปัจจุบัน ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นำโดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
การมอบสมุดปกขาวในช่วงเวลานี้มีความหมายยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน แต่ยังสะท้อนถึงความยืนหยัดและความมุ่งมั่นของภาคธุรกิจไทยที่พร้อมเดินหน้าร่วมกับรัฐบาล เพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านทุกความท้าทาย ทั้งจากภัยพิบัติธรรมชาติและความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก
สมุดปกขาว คืออะไร? เข้าใจความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในยุคใหม่
สมุดปกขาว คือเอกสารข้อเสนอเชิงนโยบายสำคัญที่รวบรวมเสียงของภาคเอกชนทั่วประเทศ เพื่อนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนต่อรัฐบาล โดยสะท้อนเจตนารมณ์ของหอการค้าไทยในการ "ปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ" เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและทั่วถึงในทุกภูมิภาค การมอบสมุดปกขาวในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศถือเป็นธรรมเนียมประจำปีที่มีความสำคัญ โดยรวบรวมข้อเสนอจากผู้ประกอบการและถ่ายทอดสู่รัฐบาลอย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์
ไฮไลต์ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จากบทสรุปผู้บริหาร
หอการค้าไทยได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย ภายใต้บทบาท “คลังสมองเอกชน” โดยการระดมความคิดเห็นอย่างเป็นระบบจากคณะกรรมการและที่ปรึกษาภายใต้โครงสร้างของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จำนวน 36 คณะกรรมการ ครอบคลุม 10 สายงานหลัก ได้แก่ การค้า–การลงทุน, เกษตร–อาหาร, ท่องเที่ยวและบริการ, AI & Technology, Sustainability, พัฒนาเครือข่ายหอการค้า, โครงสร้างเศรษฐกิจ, กฎหมาย, พัฒนาสังคมและจรรยาบรรณ และ SMEs โดยคณะกรรมการทุกชุดได้ร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ เศรษฐกิจและความต้องการของภาคธุรกิจในทุกมิติ ภายใต้กรอบข้อเสนอ 5 Core Values ซึ่งครอบคลุมทั้งนโยบายระดับประเทศ และแนวทางขับเคลื่อนในระดับภูมิภาค เพื่อให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงจากฐานราก เชื่อมต่อสู่เวทีเศรษฐกิจโลกอย่างยั่งยืน ดังนี้
1. ด้านการค้าและการลงทุน (Trade & Investment) มุ่งยกระดับศักยภาพการค้าการลงทุนของประเทศผ่านการเร่งให้สัตยาบัน FTA (ไทย–ศรีลังกา, ไทย–EFTA) และการสมัครเข้าร่วม OECD พร้อมปรับโครงสร้างกฎหมาย เปิดเสรีโลจิสติกส์ ทบทวน พ.ร.บ.ธุรกิจคน ต่างด้าว และจัดตั้งหน่วย Fast Track Reform (Guillotine Unit) เพื่อรื้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ขณะเดียวกันสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ชีวภาพ (Bioplastics) และพลังงานสะอาด ด้านแรงงาน เสนอระบบค่าจ้างตามทักษะ (Pay-by-Skills) ร่วมกับการยกระดับทักษะ แรงงาน (Up/Reskill) จัดตั้งศูนย์บริการแรงงานเบ็ดเสร็จ และคณะกรรมการร่วมรัฐ–เอกชนด้านแรงงาน (กรอ.แรงงาน) ส่วนด้านค้าปลีก เสนอขยายโครงการ “Easy e-Receipt เฟส 2 จัดตั้งเขตปลอดภาษีในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก คืน VAT ทันทีแก่นักท่องเที่ยว และตั้งศูนย์ One Stop Service อำนวยความสะดวกผู้ค้าปลีก
2. ด้านเกษตรและอาหาร (Agriculture & Food) เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร (Value-Based Agriculture) ผ่านการผลักดัน Product Champions ในสินค้าหลัก เช่น ข้าว ยาง ปาล์ม ไก่ หมู กุ้ง และพืชสมุนไพร พร้อมสนับสนุนการแปรรูป การพัฒนาพันธุ์ด้วยเทคโนโลยี Gene Editing และส่งเสริมสินค้า GI–Future Food แผนยุทธศาสตร์มหานครผลไม้เมืองร้อนของประเทศไทย ขับเคลื่อน สู่ศูนย์กลางการค้าและความรู้ผลไม้เมืองร้อนโลก รวมถึงพัฒนาโครงสร้างฐานราก เช่น ระบบน้ำ ที่ดิน ฐานข้อมูลเกษตรกร และศูนย์ประสานงานสินค้าเกษตรและอาหาร (AFC) ให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลตลาด นอกจากนี้ยังยกระดับอุตสาหกรรมประมง ด้วยการลดภาษีวัตถุดิบ การพัฒนาแรงงานตามมาตรฐานสากล (GLP) และเร่งปลดล็อกข้อจำกัดการส่งออก
3. ด้านการท่องเที่ยวและบริการ (Tourism & Services) เสนอเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและสุขภาพระดับโลก (Global Wellness & Tourism Hub) โดยผลักดันการใช้แนวคิด “Happy Model” เป็นกรอบพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง มุ่งยกระดับความปลอดภัยและความเชื่อมั่นผ่านโครงการ Trusted Thailand ใช้มาตรการภาษีและการเงินกระตุ้นการท่องเที่ยวหักลดหย่อนภาษีสูงสุด 15,000 บาท และหักภาษี 3 เท่าสำหรับการจัดอบรมต่างจังหวัด) พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์ม TAGTHAi ให้เป็น National Digital Tourism Utility เชื่อมโยงข้อมูลเมืองหลักและเมืองรอง เสริมเส้นทาง ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและทางทะเล (Wellness & Cruise Tourism) รวมถึงจัดสรร Soft Loan ดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SME และ Startup ด้านท่องเที่ยว เพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
4. ด้านดิจิทัล เทคโนโลยี และนวัตกรรม (Digital & AI with Innovation) ผลักดันเศรษฐกิจ Digital–Green Economy ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเศรษฐกิจดิจิทัลต่อ GDP จาก 23.9% เป็น 35% ภายในปี 2579 และสร้างงานคุณภาพกว่า 2 ล้านตำแหน่ง เสนอจัดตั้งศูนย์บัญชาการเศรษฐกิจดิจิทัล (DECC) พร้อมกองทุน Digital–Green Infrastructure เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน AI, Cloud, Data Center และพลังงานสะอาด พัฒนาโครงการ Thailand AI Ready ยกระดับทักษะประชาชนกว่า 5 ล้านคน และ ออกมาตรการ Digital Visa ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ เสริมด้วย Digital Voucher สำหรับ SME และกรอบกฎหมายใหม่ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล–กรีน พร้อมมาตรฐาน AI Ethics และ Data Governance การส่งเสริมโครงการพลิกโฉมธุรกิจ สู่ Smart Business ด้วย Automation and Robotics
5. ด้านความยั่งยืน (Sustainability) เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยเสนอร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาด จัดตั้ง “กองทุนอากาศสะอาด” ลดการเผาในภาคเกษตรด้วยระบบ Traceability ส่งเสริมมาตรฐานการออกแบบบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล การใช้วัสดุหมุนเวียน และแรงจูงใจทางภาษีสำหรับ Green Innovation พร้อมผลักดันตลาดไฟฟ้าเสรี (Open Electricity Market) และขยายความรับผิดชอบผู้ผลิต (EPR) ไปยังอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ยานยนต์ และวัสดุก่อสร้าง และการสนับสนุนโครงการ Platform ซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Neutrality 4 ALL)
ข้อเสนอทั้งหมดนี้สะท้อนเจตนารมณ์ของหอการค้าไทยในการ “ปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ” เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึงในทุกภูมิภาค โดยการมอบสมุดปกขาวในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ถือเป็นธรรมเนียมสำคัญประจำปี ที่หอการค้าไทยจัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคเอกชนทั่วประเทศ ถ่ายทอดเสียงของผู้ประกอบการสู่รัฐบาลอย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์ สมุดปกขาวฉบับนี้จึงมิได้เป็นเพียงเอกสารข้อเสนอ แต่คือ “แผนที่เศรษฐกิจภาคเอกชนของไทย” ที่สะท้อนพลังของความร่วมมือและความมุ่งมั่นของเครือข่ายหอการค้าทั่วประเทศ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เข้มแข็งและยั่งยืน
ดาวน์โหลดสมุดปกขาว หอการค้าไทย ปี 2568
รวมกว่า 70 หน้า ของข้อเสนอเศรษฐกิจที่ครอบคลุมที่สุดของภาคเอกชนไทย
ดาวน์โหลดฟรีที่นี่ ไม่มีค่าใช้จ่าย






















