คณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์ฯ เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโคเนื้อไทยทั้งระบบ ชูโมเดล “นครชัยบุรินทร์พลัส–ศรีสะเกษ” ยกระดับคลัสเตอร์โคพรีเมียมสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง

วันที่ 2-3 ธันวาคม 2568 คณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป นำโดย คุณอดิศร์ กฤษณวงศ์ กรรมการบริหาร และประธานคณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป พร้อมด้วย คุณสมชาติ พงคพนาไกร ประธานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ , คุณสมบัติ สมบูรณ์เทอดธนา กรรมการหอการค้าไทย ที่ปรึกษาคณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป, ดร.ณัชอิสร์ ศรีสุขพรชัย กรรมการหอการค้าไทย ประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ที่ปรึกษา คณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป,คุณสิทธิพร บุรณนัฎ รองประธาน คณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป และ ดร.ธนเสฐฐ์ อัศวปภาวัฒน์ กรรมการ คณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และแปรรูป  ลงพื้นที่โครงการส่งเสริมเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อจังหวัดสุรินทร์ และ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

คณะฯ เข้าหารือการผลิตและการตลาดโคเนื้อ ร่วมกับคุณจำนงค์ จังอินทร์ และเยี่ยมชมกระบวนการเลี้ยงโคขุนคุณภาพสูง ณ อัมรีฟาร์ม อ.ห้วยทับทัน อ.ศรีสะเกษ  จุดเด่นของฟาร์ม คือ การขุนโคคุณภาพสูง (Premium) สายพันธุ์โคลูกผสมชาร์โลเล่ส์และแองกัส เนื่องจากโตเร็วและระยะขุนสั้น ปัจจุบันอัมรีฟาร์ม ได้รับมาตรฐานฟาร์ม GFM และปลอดสารเร่งเนื้อแดง มีเครือข่ายกว่า 151 ราย รวมโคขุนพรีเมี่ยมกว่า 1,086 ตัว มูลค่ากว่า 76 ล้านบาท  โดยส่งเสริมการใช้สูตรอาหารข้นผสมกากมันหมักยีสต์ (อัตรา 1:2 หรือ 1:3) ร่วมกับฟางและหญ้าเนเปียร์ ลดต้นทุนค่าอาหารข้นได้กว่า 56%

สำหรับราคาจำหน่ายโคขุนเฉลี่ยที่ 70,000–80,000 บาท/ตัว โดยปี 2568 จำหน่ายได้ 320 ตัว มูลค่า 23.57 ล้านบาท ผ่านสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ (Maxbeef ) โดยจะคัดเกรดและบ่มซาก 7 วัน เพื่อให้ได้คุณภาพเนื้อตามมาตรฐานตลาด  

ปัจจัยความสำเร็จของเครือข่ายอัมรีฟาร์มคือ พันธุ์ดี อาหารดี ตลาดดี การจัดการดี โรงเรือนดี และรายได้ดี ทำให้เกษตรกรมีแรงจูงใจพัฒนาคุณภาพการเลี้ยง ส่งผลต่อรายได้ที่สูงขึ้น

ต่อมา คณะฯ ได้ประชุมหารือร่วมกับนายสัตวแพทย์อภิชัย นาคีสังข์ ปศุสัตว์จังหวัดสุรินทร์ และเครือข่ายเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนสายพันธุ์วากิว นำโดยคุณเคียงเดือน สงวนชื่อ ประธานวิสาหกิจชุมชนโคขุนสุรินทร์โกเบครบวงจรตำบลสลักได 
 

ปัจจุบัน วิสาหกิจมีสมาชิกรวมกว่า 151 ราย แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ คือ กลุ่มผลิตอาหารสัตว์, กลุ่มเลี้ยงแม่พันธุ์เพื่อผลิตลูก(โคต้นน้ำ), กลุ่มผู้ขุนโค, กลุ่มการตลาดจำหน่ายเนื้อและผลิตภัณฑ์แปรรูป, กลุ่มเครือข่ายโครงการมูลโคแลกข้าว   สายพันธุ์ที่ทางวิสาหกิจนิยมเลี้ยงมากที่สุดคือโคเนื้อลูกผสมสายพันธุ์วากิว รองลงมาคือลูกผสมสายพันธุ์โคนม สายพันธุ์บรามัน และ สายพันธุ์ชาโลเล่  

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมหารือประเด็นปัญหาในด้านการเลี้ยงโคเนื้อตลอด Supply Chain โดยกลุ่มจะซื้อโคต้นน้ำ (ลูกโคหย่านม) อายุ 6-8 เดือน น้ำหนักไม่น้อยกว่า 120 กก. เข้าเลี้ยงเป็นโคกลางน้ำ (โครุ่น) อายุ 1 ปี น้ำหนักไม่น้อยกว่า 300 กก. และเลี้ยงเป็นโคขุนอีก 10-18 เดือน ให้โคน้ำหนักไม่น้อยกว่า 550 กก. จึงนำเข้าเชือด และประเมินเกรดไขมันแทรก (เฉลี่ยโค 1 ตัวสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 120,000 บาท/ตัว มีการส่งจำหน่ายโคเนื้อต่อเดือนอยู่ที่จำนวน 30-35 ตัว/เดือน โดยมีตลาดหลักคือ ธุรกิจร้านอาหารพรีเมี่ยมและ Butcher shop

ข้อเสนอ Big Quick Win เพื่อยกระดับการเลี้ยงโคเนื้อ ดังนี้

1) ส่งเสริมการวางระบบSupply chain ของโคเนื้อให้ชัดเจนและเป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ลงทะเบียนแม่พันธุ์โคเนื้อให้แม่นยำ เพื่อวางแผนการผลิตลูกโคตามจำนวนที่ต้องการในแต่ละปี

2) พิจารณาการส่งเสริมให้เกษตรกรในกลุ่ม แบ่งทำอาชีพในsupply chain เช่น กลุ่มอาชีพเลี้ยงแม่โคเพื่อผลิตลูกโค กลุ่มอาชีพเลี้ยงโคก่อนขุน(โครุ่น) เพื่อลดภาระด้านเงินทุนหมุนเวียน และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกขึ้น รวมทั้งอาจพิจารณาขอการสนับสนุนจากภาครัฐในการสร้างคอกกลาง และ Feed Center เพื่อทำให้การผลิตโคขุนมีคุณภาพที่ได้มาตรฐานและมีความสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น

3) ยกระดับการควบคุมคุณภาพสายพันธุ์โคต้นน้ำ สอดคล้องกับการขึ้นทะเบียน GI (เนื้อโคสุรินทร์) พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีช่วยประเมินการตัดเกรดไขมันแทรก
 
4) ส่งเสริมการตลาดเนื้อโคในทุกมิติ อาทิ งานสุรินทร์วากิว Festival 2026 , การจัดกิจกรรมบริโภคเนื้อโคไทย ร่วมกับ กรมการค้าภายใน เป็นต้น

คณะกรรมการธุรกิจปศุสัตว์และเเปรรูป ตั้งเป้าขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อร่วมกับหอการค้าจังหวัดกลุ่มนครชัยบุรินทร์+ศรีสะเกษ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐเกษตรกร เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมโคเนื้อของไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นต่อไป

Cr. Agri&Food TCC&BOT