Big Brother Season 9 Meeting with CEO KLUAYNAMTHAI

วันที่ 5 กันยายน 2568 ได้รับเกียรติจากคุณศรัณยู ชเนศร์ CEO โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท บรรยายพิเศษในกิจกรรมMeeting with CEO ในหัวข้อซึ่อ“Life with digital healthcare world”
มีบริษัทน้องและพี่เลี้ยง Big Brother Season 9 ที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้กว่า 60 ท่าน
ช่วงเช้าได้รับความรู้ในเรื่อง AI for Healthcare หรือการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาบูรณาการเพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงการสุขภาพและการแพทย์ พัฒนานวัตกรรมมาช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่ต้องการ เช่น เพื่อเป็นผู้ช่วยแพทย์ในการช่วยวินิจฉัยโรคและการรักษาผู้ป่วย ให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้เร็วขึ้น แม่นยำมากยิ่งขึ้น หรือช่วยในบริหารงานทางการแพทย์ นำมาพัฒนาระบบต่างๆเพื่อช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน ลดข้อผิดพลาด ลดภาระงานของบุคลากร และเพิ่มความแม่นยำในการบันทึกข้อมูล ให้บุคลากรสามารถนำเวลาที่มีคุณค่า ไปเน้นที่การให้บริการดูแลรักษาคนไข้ เพื่อช่วยยกระดับระบบบริการสุขภาพให้ดีขึ้น AI ที่ใช้ในวงการสุขภาพเป็นการรวมเทคโนโลยีหลายประเภท ซึ่งมีความแตกต่างกันไป นั่นคือ
- Deep Learning เป็นรูปแบบช่วยพัฒนาเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพอย่างก้าวกระโดด โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ที่ซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลคนไข้ในหลายด้าน เช่น การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์และการวินิจฉัยโรค การค้นคว้าเพื่อพัฒนายาใหม่ ๆ การวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลโดยวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยรายบุคคล
- Natural Language Processing การประมวลผลที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและใช้ภาษาของมนุษย์ได้ อีกทั้งยังสามารถที่จะประเมินและเข้าใจถึงเจตนาและความรู้สึกของผู้เขียน หรือผู้พูดได้ เพื่อที่จะสามารถพูดคุย และโต้ตอบสร้างปฏิสัมพันธ์ได้เหมือนกับที่มนุษย์ทำนั่นเอง โดยสามารถพบเจอได้ในประสบการณ์ในการใช้งาน chatbot จะช่วยให้ข้อมูลด้านสุขภาพที่ถูกต้อง ช่วยปรับปรุงความพึงพอใจของผู้รับบริการ และให้บริการที่เฉพาะเจาะจงและเหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น
- Automation การใช้ AI ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยทำงานด้านการบริหารจัดการ Workflows ทางคลินิก และช่วยให้ระบบต่าง ๆ เป็นแบบอัตโนมัติ มีสถานพยาบาลหลายแห่งใช้ระบบอัตโนมัติ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคนไข้ และช่วยการทำงานที่เป็นกิจวัตรของสถานพยาบาล
- Rule-based Expert Systems ยังเชื่อมต่อกับระบบเวชระเบียน การตรวจจับ แจ้งเตือน ช่วยวินิจฉันโรคจากประวัติ แนะนำการสั่งการรักษา รวมไปถึงตรวจจับผลข้างเคียงจากยา ซึ่งเทรนด์
AI healthcare ปัจจุบันนี้ ประกอบด้วย
- ช่วยในการวินิจฉัยโรค ในประเทศไทยมีการพัฒนา AI เป็นแอปพลิเคชั่นใช้งาน เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งผิวหนังเบื้องต้น ด้วยประสิทธิภาพการทำงานของเทคโนโลยี โดยสามารถแจ้งค่าความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง รวมถึงความผิดปกติของผิวหนังอื่นๆได้
- ช่วยในการผ่าตัด เป็นตัวช่วยให้ศัลยแพทย์ เช่น ปริมาณเลือดที่เสียไป หรือช่วงสำคัญของกระบวนการผ่าตัด (การแยกเนื้อเยื่อ การผ่าตัด และการปิดแผล) สามารถช่วยลดการทำงานของแพทย์ได้ถึง 90%
- ช่วยอำนวยความสะดวกในการรักษา เป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์สามารถบันทึกข้อมูลการเข้ารักษา จะใช้ ในการแปลงและบันทึกบทสนทนาระหว่างแพทย์และคนไข้ สามารถลดเวลาที่ใช้ในการบันทึกเอกสารของแพทย์ และยังสามารถช่วยให้การทำงานอื่นๆของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เป็นอัตโนมัติ
ซึ่งจะเห็นได้ว่า AI ได้เข้ามามีบทบาทต่อวงการแพทย์มากขึ้นในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการแพทย์ทั่วโลกเลยก็ว่าได้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลัก ดังนี้
- การยอมรับในความท้าทาย สำหรับการนำ AI มาใช้ในธุรกิจHealthcare สิ่งนี้คือโซลูชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มาจัดการกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพ นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงก้าวสำคัญที่ส่งผลต่อระบบสาธารณสุข
- การเปลี่ยนแปลงด้านความรับผิดชอบในการทำงานด้าน Healthcare กว่า 70% งานของผู้ปฏิบัติงานด้าน Healthcare จะสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ด้วยการเพิ่มเทคโนโลยี (AI) หรือระบบอัตโนมัติเข้ามาทดแทน
ช่วงบ่ายได้รับเกียรติจากคุณสุรสิทธิ์ ศิริสมภพ ที่ปรึกษา บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) บรรยายพิเศษเรื่อง “การจัดการสินค้าคงคลัง(Inventory Management) สำหรับ SMEs ไทย” กล่าวว่า การจัดการสินค้าคงคลังสำหรับธุรกิจ SMEs ไทย คือ กระบวนการที่เป็นระบบในการจัดหา (sourcing) จัดเก็บ (storing) และขายสินค้าคงคลัง (inventory) ซึ่งรวมถึงวัตถุดิบ (raw materials) สินค้าระหว่างผลิต (WIP) อุปกรณ์บำรุงรักษา ซ่อมแซม และปฏิบัติงาน (MRO) และสินค้าสำเร็จรูป (finished goods) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
วัตถุประสงค์หลักของการบริหารสินค้าคงคลัง คือ
- เพื่อให้แน่ใจว่ามีสินค้าหรือวัตถุดิบเพียงพอต่อความต้องการ โดยไม่สร้างสินค้าคงคลังมากเกินไปหรือส่วนเกิน
- ช่วยให้บริษัทต่างๆ ระบุได้ว่าควรสั่งซื้อสินค้าประเภทใดและปริมาณเท่าใดในเวลาใด โดยติดตามสินค้าตั้งแต่การซื้อจนถึงการขายสินค้า
- เพื่อให้มั่นใจว่ามีสินค้าเพียงพอต่อการสั่งซื้อของลูกค้าอยู่เสมอ และมีการแจ้งเตือนที่เป็นระบบและมีความเหมาะสมหากเกิดภาวะขาดแคลนสินค้า
ดังนั้นการลดต้นทุนการเก็บรักษาสินค้า และหลีกเลี่ยงปัญหาสินค้าขาดหรือล้นสต็อก โดยใช้เทคนิคต่างๆ ธุรกิจ SMEs หากปราศจากการจัดการสินค้าคงคลังที่ดี ธุรกิจอาจประสบปัญหาขาดสต็อก สินค้าล้นสต็อก และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรและความพึงพอใจของลูกค้าได้ ดังต่อไปนี้
- Demand Forecasting คือ การคาดการณ์ความต้องการสินค้าของลูกค้าล่วงหน้า โดยจะมีการใช้ข้อมูลต่างๆประกอบ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลปริมาณการขายในอดีต แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาด สภาพเศรษฐกิจเพื่อวิเคราะห์ และทำนายปริมาณการซื้อขายในอนาคต Demand Forecasting จึงถือว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ทำให้ธุรกิจได้รู้ว่าควรจะสต็อกของหรือมีสินค้าคงคลังในจำนวนเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการผลิต จัดเตรียมพื้นที่เก็บสินค้า และวางแผนการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Inventory Tracking หรือ การติดตามสินค้าคงคลัง คือกระบวนการที่ธุรกิจตรวจสอบปริมาณ, ตำแหน่ง, และสถานะของวัตถุดิบ, ชิ้นส่วน, และสินค้าสำเร็จรูปทั้งหมดที่ธุรกิจมีอยู่ เพื่อให้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับระดับสินค้าคงคลังและช่วยในการจัดการซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพ
- Reorder Point คือระดับสินค้าคงคลังที่กำหนดไว้ เพื่อเตือนให้ทำการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มก่อนที่สินค้าจะหมด ในขณะที่Safety Stock สินค้าคงคลังส่วนเกินที่เก็บสำรองไว้ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด หรือความล่าช้าในการจัดส่งสินค้า ทำให้ธุรกิจหลีกเลี่ยงปัญหาขาดสต็อกได้
- Inventory turnover คือ ตัวเลขที่บอกว่าธุรกิจขายสินค้าในสต็อกออกไปได้จำนวนกี่ครั้งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น 1 ปี ยิ่งตัวเลขสูงยิ่งดี แสดงว่าบริษัทขายสินค้าได้เร็ว มีประสิทธิภาพ และใช้เงินทุนได้คุ้มค่า ส่วนค่าที่ต่ำอาจบ่งชี้ว่ามีสินค้ามากเกินไป หรือขายได้ช้า ทำให้เงินทุนจม และมีความเสี่ยงที่สินค้าจะเก่า เสื่อมสภาพ หรือล้าสมัยได้
โดยสรุปเราจะเห็นว่าการสต็อกสินค้ามากเกินไป ก็เป็นผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์อีกประการหนึ่งของการจัดการสินค้าคงคลังที่ไม่ดี ภาวะสต็อกสินค้าไม่เพียงพอเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจมีสินค้าคงคลังไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า การขาดสต็อกนี้อาจนำไปสู่การสูญเสียโอกาสในการขาย ความไม่พอใจของลูกค้า และชื่อเสียงของแบรนด์ที่เสื่อมเสีย ซึ่งแตกต่างจากการสต็อกสินค้ามากเกินไป ซึ่งความกังวลหลักคือเงินทุนส่วนเกินที่ผูกติดอยู่กับสินค้าที่ขายไม่ออก หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการควบคุม การมีสต็อกสินค้าไม่เพียงพออาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆคือ
- การสูญเสียโอกาสในการขายโดยตรง ลูกค้าที่ไม่สามารถหาสินค้าที่ต้องการได้ อาจหันไปหาคู่แข่ง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้
- ความไม่พอใจของลูกค้า ทำให้ลูกค้าหงุดหงิด อาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของธุรกิจ ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกัน ประสบการณ์เชิงลบสามารถถูกขยายผลผ่านโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์รีวิวสินค้า
- ความเครียดในการปฏิบัติงาน เนื่องจากธุรกิจต้องเร่งดำเนินการตามคำสั่งซื้อหรือหาซัพพลายเออร์รายอื่น ซึ่งมักทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้นในกระบวนการ
- การสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด :การจัดหาสินค้าไม่เพียงพออย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่การสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด เนื่องจากลูกค้าเริ่มมองว่าคู่แข่งเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้มากกว่าสำหรับความต้องการของพวกเขา










