Smart to Know: ถอดรหัสลับความอร่อย

          ยุคนี้ใครว่าแค่ทำอาหารอร่อยแล้วจะรอด? เพราะในโลกโซเชียลมีเมนูต่าง ๆ มากมาย การสร้างภาพจำให้ร้านของคุณโดดเด่นต่างหากคือชัยชนะ!

          ส่วนหนึ่งในการอบรมโครงการ Smart Plate ที่จัดโดย SME Development Center ของหอการค้าไทย เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการถ่ายทอดประสบการณ์ตรงที่น่าสนใจจาก คุณบอย ปัณฐวิชญ์  นันทสิทธิ์ฐากร นักสร้างคอนเทนต์ผู้ผันตัวจากเซลล์โรงแรมมาเป็นกูรูด้านภาพอาหาร บทความนี้จะพาทุกคนไปเจาะลึกกลยุทธ์และวิธีการคิดสุดคมคาย ที่กล้าการันตีว่าเคล็ดลับเหล่านี้ “ใช้ได้ 100%”

 

จุดเริ่มต้นและแก่นความคิด: จากคนชอบกินสู่ยุคทองของวิดีโอ

          คุณบอย ไม่ได้เรียนถ่ายภาพมาโดยตรง และไม่ได้เป็นเจ้าของร้านอาหาร แต่เป็นเพียง “Beginner” ที่รักการกินและการถ่ายรูปเท่านั้น จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 รอบแรก เมื่อเห็นร้านอาหารปิดตัวลงมากมาย จึงเริ่มจากการแจกสูตรอาหาร แต่พบว่าไม่สามารถแจกได้ตลอดไป จึงหันมาเข้าสู่ตลาด SME ขนาดเล็ก เน้นการรีวิวและนำเสนอร้านอาหารน่าสนใจ

          คุณบอยย้ำว่า จุดเริ่มต้นที่ทำมาถึงวันนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเก่งที่สุด แต่เพราะทำซ้ำและผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง และนำสิ่งเหล่านั้นมาวิเคราะห์แก้ไขว่าเราควรจะเริ่มหาแนวทางตัวเองอย่างไร เเละแบบไหนคือตัวตนเราที่เเท้จริง


ตามล่าหา "พระเอก" และสร้างภาพจำที่ไม่อาจลืม

          หัวใจหลักที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจ "ยอมขับรถไปกิน" คือการสร้าง "พระเอก" (Hero Product) ที่โดนใจ
•    พระเอกคืออะไร: พระเอกคือ เมนูที่คุณจำได้ดีที่สุด เมื่อนึกถึงร้านนั้น แม้ร้านจะมีเมนูเป็นสิบ ๆ อย่าง แต่ลูกค้าจะจดจำและเลือกมาอุดหนุนเราได้จากเมนูพระเอกนี้ ตัวอย่างเช่น ร้าน "บ้านเมี่ยงปู" ที่สมุทรสาคร มีหลายเมนู แต่ลูกค้าพร้อมขับรถกว่า 30-40 กิโลเมตร เพื่อไปกินเมี่ยงปูเมนูเดียวที่พวกเขาอยากกิน นี่คือหลักฐานว่าถ้าเรามีพระเอกที่ดี ลูกค้าจะยอมจ่ายและเดินทางมาเพื่อมัน

•    สร้างความแตกต่าง..หนีอย่างไรให้ชนะ: หากคุณกำลังขายสินค้าที่ซ้ำกับคู่แข่ง (เช่น ขายทอดมันปูเหมือนกัน) วิธีหนีที่ดีที่สุดคือการ "สร้างความแตกต่าง" เช่น
     -    เปลี่ยนโฉมเมนู: แทนที่จะขายทอดมันปูแบบเดิม ๆ อาจนำเสนอเป็น "พิซซ่าทอดมันปู" เมนูที่สร้างความว้าวและความน่าสนใจได้ทันทีตั้งแต่ชื่อ
     -    ผสานความหลากหลาย (Mix and Match): หากเมนูหลักเดิม ๆ คิดไม่ออกว่าจะลงคอนเทนต์อะไรอีก ลองนำมาปรับให้พิเศษ เช่น กระเพราธรรมดาๆ ก็กลายเป็น "กระเพราสามหมู" (หมูสับ หมูกรอบ หมูยอ) หรือเปลี่ยนไปใช้ กะเพราหนวดหมึก คู่กับไข่ดาวเพื่อสร้างความแปลกใหม่และดึงดูดลูกค้าที่ชอบความท้าทาย
     -    เล่นกับกระแส (Trend/Seasonal): ใช้กระแสที่กำลังมาแรง เช่น โมจิชีสเค้ก หรือธีมเทศกาลอย่างฮาโลวีนหรือคริสต์มาส เข้ามาช่วยในการปรับเมนู เพราะถึงแม้เราจะไม่รู้ว่ามันจะอร่อยหรือไม่ แต่คนก็ยอมต่อแถวเพื่อ "ลองสักครั้ง"


กรอบคิด 4 WH: เข็มทิศนำทางคอนเทนต์ (Content GPS)

          ก่อนการถ่ายภาพหรือทำวิดีโอทุกครั้ง คุณบอยจะใช้หลักคิด 4 WH เป็นเหมือนเข็มทิศในการวางแผนการเล่าเรื่อง ซึ่งช่วยให้คอนเทนต์ออกมาคมชัดและโดนใจ ซึ่งการคิดตามกรอบนี้ก่อน จะทำให้รู้ว่าจุดแข็งของร้านอยู่ตรงไหน และควรเน้นอะไรในภาพ

  • What (อะไร): อะไรคือสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในร้าน? (เช่น ผักกรอบ หอมกลิ่นกระทะ)
  • Where (ที่ไหน): ร้านตั้งอยู่ที่ไหน? (เช่น ไม่ต้องไปไกลถึงเชียงใหม่ เพราะมาเปิดที่กรุงเทพฯ แล้ว)
  • When (เมื่อไหร่): เราจะบอกเล่าเรื่องนี้อย่างไรให้มันน่าสนใจ? (เกี่ยวกับการเล่าเรื่อง)
  • Why (ทำไม): ทำไมต้องมากิน? (เช่น ถ้ามาแล้วเมนูที่ห้ามพลาดคือ สุกี้เนื้อ, สุกี้กุ้งล้วน)

เคล็ดลับการนำเสนอภาพและวิดีโอ

          เป้าหมายสูงสุดของการนำเสนอภาพอาหาร คือ การสร้าง "ความหิว" หรือ "ความตะกละ" ให้ผู้ชมรู้สึกอยากกิน ด้วยวิธีการดังนี้

  • ปกต้องชนะ (Thumbnail Power) ภาพปก (Thumbnail) คือจุดตัดสินว่าคนจะกดดูวิดีโอหรือไม่ ภาพปกจึงควรเป็นภาพที่ "น่ากินที่สุด" ไม่ใช่แค่ "สวยที่สุด"
  • โชว์ "ทีเด็ด" ที่ซ่อนอยู่ อย่าโชว์แค่ภายนอก แต่ต้องเจาะให้เห็นความพิเศษข้างใน เช่น เจาะไส้: ทาร์ตไข่ราคา 150 บาท อาจดูแพง แต่เมื่อผ่าให้เห็น Vanilla Sauce สูตรพิเศษที่อยู่ข้างใน ซึ่งไม่ใช่ทุกที่ที่ทำได้ ผู้ชมจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่ต้องขับรถไปกิน นอกจากนั้น ภาพอาหารจะดูน่ากินที่สุด เมื่ออยู่ในโมเมนต์ที่ดีที่สุด หรือกำลังเคลื่อนไหว เช่น ตอนแกงจืดเดือดมีควัน ตอนเทซอสราดข้าว ตอนฉีกหรือผ่าให้เห็นไส้เยิ้ม ๆ แม้แต่เมนูง่าย ๆ อย่างไข่ดาว ก็ควรมีช็อตเจาะไข่แดง แล้วตามด้วยพริกน้ำปลา เป็นต้น
  • พลังแห่งองค์ประกอบและสเกล เทคนิคการถ่ายภาพและวิดีโอให้ดูน่ากินขึ้นนั้น อาจทำโดยการใช้มือ ตะเกียบ หรือช้อน ในการจับ คีบ หรือตัก ซึ่งจะช่วยกำหนดขนาดสเกลของอาหาร ทำให้ดูชิ้นใหญ่ขึ้นหรือน่าสนใจขึ้น นอกจากนั้น การใช้สีพื้นหลังที่ตัดกับสีอาหาร (เช่น สีดำ สีเข้ม หรือแม้แต่ใช้เสื้อผ้าสีเข้มเป็นฉากหลัง) จะช่วยทำให้อาหารดูโดดเด่น หรือหากถ่ายสินค้าที่มาพร้อมกล่องหรือกระดาษ ควรตัดขอบกระดาษที่ใหญ่เกินไปออก หรือพับมุมกล่องลง เพื่อให้ของดูใหญ่กว่ามือ และไม่บดบังความโดดเด่นของอาหาร
  • การนำเสนอขั้นตอนเบื้องหลัง บางครั้งคนก็อยากดูเบื้องหลังมากกว่าแค่ผลลัพธ์ การโชว์วิธีการทำหมูหยอง ตั้งแต่การแล่หมู การต้มชิ้นใหญ่ ๆ ไปจนถึงการคั่วและฉีกด้วยมือ จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางประสบการณ์ (Experience Marketing) และความน่าเชื่อถือให้กับสินค้า

การทำสคริปต์และพลังแห่งน้ำเสียง (Scripting & Voice)

          สำหรับการทำวิดีโอสั้น การจัดการเวลาและการเล่าเรื่องเป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องมีการวางแผนให้ดี

  • สคริปต์ (Script): การเขียนสคริปต์ล่วงหน้าโดยใช้หลัก 4 WH จะช่วยลดเวลาในการ Voiceover ได้อย่างมหาศาล อาจมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับร้าน (เช่น เปิดตั้งแต่ปี xxxx, ตำนานรุ่นอาม่า) จะช่วยให้การ voice เสียงน่าสนใจและมีมิติมากขึ้น
  • น้ำเสียง (Voice Tone): น้ำเสียงต้องมีอารมณ์และสนุกสนาน เพื่อให้เข้ากับคอนเทนต์ โดยเฉพาะคอนเทนต์ของหวาน ควรเล่าให้รู้สึกว่า "ชะโลมหัวใจ" เคล็ดลับง่าย ๆ คือ ลองยิ้มขณะพูด จะช่วยปรับโทนเสียงให้สดใสขึ้นทันที
  • การบันทึกเสียง: ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง สามารถ Voice ในโทรศัพท์มือถือ และใช้แอปพลิเคชันฟรีอย่าง CapCut ในการตัดต่อได้ ควรบันทึกเสียงเป็นช็อตสั้น ๆ (เช่น 5-8 วินาทีต่อครั้ง) แล้วนำมาเรียงกันตามสคริปต์

กลยุทธ์การลงแพลตฟอร์ม

          แต่ละแพลตฟอร์มมีกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน การเลือกที่ลงจึงสำคัญ:
 

แพลตฟอร์ม กลุ่มเป้าหมายหลัก ลักษณะคอนเทนต์ที่เวิร์ค
Instagram (IG) ตลาดกลาง-บน, คนในเมือง, คนติดไลฟ์สไตล์, ต่างชาติ (โดยเฉพาะกลุ่มคนญี่ปุ่น) เน้นภาพที่ "ติดแกรม" (สวยงาม), Street Food ที่ใช้แฮชแท็กทั่วโลก (#streetfoodnoodle) และชอบดูรูปน้อยกว่า 4 รูป
TikTok คนไทยทุกกลุ่ม คอนเทนต์ที่สนุกสนาน ไม่ต้องมีสาระมากนัก (แต่มีบ้าง) เน้นการสร้างกระแส และนิยมดูช่วงกลางคืน
Facebook  กลุ่ม 30 ปีขึ้นไป, พนักงานออฟฟิศ เน้นการโปรโมตแคมเปญ หรือดีลเดลิเวอรี (Grab) เพราะคนกลุ่มนี้ต้องการเห็นข้อมูลรวดเร็ว (รูปภาพ) ขณะเดินทางหรือทำงาน (ไม่สามารถเปิดวิดีโอบน BTS ได้)

        
 

เทคนิคการสร้าง Engagement
     •    ลงถี่: ควรลงคอนเทนต์อย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะระบบของแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะ "ชอบคนขยัน" และจะช่วยดันโพสต์ให้
     •    แฮชแท็ก: ใช้แฮชแท็กยอดฮิต (เช่น #TikTokพากิน #อร่อยบอกต่อ) หรือแฮชแท็กที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและเป็นสากล (เช่น #streetfoodnoodle สำหรับ IG) เพื่อให้คนเข้าถึงโพสต์ได้มากขึ้น
     •    โยนหินถามทาง: หากไม่แน่ใจว่าโพสต์ไหนจะดี ให้ลองยิงแอดโฆษณาเล็กน้อย (เช่น 100 บาท) เพื่อทดสอบดูว่าโพสต์ไหนได้ Engagement ดี แล้วค่อยอัดเงินเพิ่มในโพสต์ที่เวิร์ค
     •    วิเคราะห์คอมเมนต์: คอมเมนต์จากลูกค้าคือขุมทรัพย์ เพราะช่วยให้เราทราบว่าคนชอบอะไรจริง ๆ หรือมีร้านอื่นที่อร่อยกว่าไหม ซึ่งช่วยให้เราสามารถไปเก็บฐานแฟน และรู้ความต้องการของตลาดได้
     •    เทรนด์สุขภาพ: ปัจจุบันเทรนด์สุขภาพมาแรง ผู้บริโภคไม่ชอบของหวานมาก ไม่ชอบน้ำมันเยอะ หากเมนูเราตอบโจทย์ไม่ได้ ให้ลองปรับจุดด้อยให้เป็นจุดเด่น เช่น เปลี่ยนจากน้ำเชื่อมเป็นหญ้าหวาน

     ทั้งนี้ สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ อย่ายึดติดกับตัวเลข Reach หรือ Engagement จนทำให้เราท้อ


ข้อคิดในการจ้าง Influencer

          เจ้าของร้านที่ต้องการใช้ Influencer ควรตระหนักว่าการจ้าง Influencer คือการ "ซื้อทีวีหนึ่งช่องมาโฆษณา แต่ไม่สามารถการันตียอดขายได้ 100%” ผู้บริโภคต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินใจ แต่สิ่งที่จะได้คือคอนเทนต์ที่ดีและน่ากิน ซึ่งสามารถนำไปใช้ต่อยอดในช่องทางอื่น ๆ ได้ ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือ

  • เปิดอกคุยกัน: เจ้าของร้านควรเปิดใจคุยกับ Influencer เพื่อทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (เช่น ตลาดกลาง/บน) และความน่าสนใจของเมนู
  • ให้อิสระในการเลือก "พระเอก" (Hero): แม้ร้านอยากโปรโมตทุกเมนู แต่ควรให้อิสระ Influencer เลือกเมนูที่โดดเด่นจริง ๆ เพราะเขาจะมองในมุมที่ตลาดสนใจ หากต้องการให้โปรโมตเมนูที่ร้านอยากขาย ควรเจรจาขอความหนักแน่นในการนำเสนอ (เช่น เน้นเมนูร้าน 30% และเมนู Influencer เลือก 60%)
  • ความไว้วางใจ: ต้องไว้ใจกันคนละครึ่งทาง หากร้านอยากได้ผลตอบแทน (Return) จากการจ้าง ควรปล่อยให้ Influencer นำเสนอในมุมมองที่ตลาดสนใจ บางครั้ง Influencer มักต้องการภาพที่ดุเดือด เช่น การถ่ายในครัวที่เห็นไฟลุก หรือเห็นขั้นตอนการทำ หากครัวไม่พร้อม เจ้าของร้านอาจต้องเจรจาขอพื้นที่เล็ก ๆ เพื่อเก็บช็อตวัตถุดิบหรือช็อตปรุงอาหารที่น่าสนใจ

          ข้อคิดอีกประการหนึ่งในการจ้าง Influencer คือ ควรเลือกคนที่ส่งเสริมแบรนด์ และมีความน่าเชื่อถือในสายนั้น ๆ ยิ่งเลือก Influencer ที่แม่นยำกับแคมเปญมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งประหยัดงบประมาณได้มากเท่านั้น

 

          โครงการดี ๆ จาก SME Development Center หอการค้าไทยยังมีอีกมาก ลองเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.thaichamber.org/view/337/sme-development-center

ข่าวอื่นๆ