SMART to Know: SME 4.0: พลิกวิธีคิด สร้างธุรกิจเติบโต

           งานมหกรรม SMEs หอการค้า 5 ภาค ที่จังหวัดระยองเมื่อสิ้นเดือนที่ผ่านมา ได้รับเกียรติจากคุณไผท ผดุงถิ่น ผู้ก่อตั้ง BUILK ONE GROUP มาแชร์ประสบการณ์ พร้อมถ่ายทอดวิธีคิดในการเป็น SME 4.0 เพื่อการเติบโตในการดำเนินธุรกิจ โดยคุณไผท เป็นผู้ประกอบการที่เริ่มต้นจากศูนย์ เรียนจบวิศวกรโยธา และเคยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ปัจจุบันเป็น CEO ของ BUILK ONE GROUP ซึ่งเป็น Tech Company มีทีมงานประมาณ 160 คน ทั้งในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ นอกจากนั้น การได้เป็นบอร์ดบริษัทเทคโนโลยีในตลาดหลักทรัพย์ ยังทำให้ได้เรียนรู้และได้รับแรงบันดาลใจในการนำกลยุทธ์มาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองอีกมากมาย

 

การปรับตัว: ความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญ

          คุณไผทให้ข้อคิดว่า “ทุกการเติบโต แลกมาด้วยการเปลี่ยนแปลง และทุกการเปลี่ยนแปลง อาจมีความเจ็บปวด” การเปลี่ยนแปลงธุรกิจจากที่เคยคุ้นเคย (อยู่ใน Comfort Zone) อาจทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดและต้องฝืนตัวเอง แต่การเลือกที่จะฝืนตัวเองเพื่อเปลี่ยนนั้นเปรียบเสมือนการออกกำลังกายที่แม้จะเหนื่อยแต่ก็ทำให้แข็งแรงขึ้น ผู้ประกอบการควรเลือกที่จะเริ่มเปลี่ยนตัวเองตั้งแต่วันนี้ ในขณะที่ยังมีสุขภาพที่แข็งแรงพอที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ควรรอให้สถานการณ์มาบีบจนอยู่ไม่ได้แล้วค่อยเปลี่ยน ทั้งนี้ หัวใจสำคัญคือ “วิธีคิด” ไม่ว่าเราจะพูดถึง SME 4.0, 5.0, หรือ 6.0 สิ่งที่สำคัญกว่าคำศัพท์เหล่านั้นคือ "วิธีคิด" ที่จะอยู่กับเราไปตลอด


ทางเลือกระหว่าง Short-term และ Long-term

          มุมมองทางธุรกิจระหว่าง SME ทั่วไป กับบริษัทขนาดใหญ่/ข้ามชาติมีความแตกต่างกัน โดยผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ มักมองหา "ความอยู่รอดในระยะสั้น" (Short Term Opportunist) มุ่งเน้นการทำกำไรให้ได้เร็วที่สุด ในเดือนนี้ ไตรมาสนี้ หรือปีนี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอด ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่/ แพลตฟอร์ม ธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้มองแค่ระยะสั้น บางครั้งพวกเขากล้าที่จะขาดทุนติดต่อกันถึง 5 ปี การมองระยะยาวเช่นนี้ทำให้พวกเขาสามารถยึดครองตลาด เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และเปลี่ยนโครงสร้างตลาดได้

          สภาวะการแข่งขันในปัจจุบันมีความไม่เท่าเทียม ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับคู่แข่งต่างชาติ (เช่น จีน ญี่ปุ่น) ที่ระดมทุนมามากกว่าตนถึง 20 เท่า หรือ 50 เท่า และสามารถประกาศว่า "ขาดทุนได้อีกสัก 500 ล้านบาท สบาย ๆ" ในขณะที่ผู้ประกอบการไทยอาจจะขาดทุนในไตรมาสนี้ไม่ได้เลย

          โจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องหาคำตอบก็คือ เราควรแลก "กำไรระยะสั้น" กับ "เป้าหมายระยะยาว" อย่างไร? และถ้าเรามัวแต่มองเป้าหมายระยะยาว แล้ววันนี้เราอยู่ไม่รอด เราจะทำอย่างไร?


ผู้ประกอบการ (Entrepreneurship)

          "ผู้ประกอบการ" เป็นคำที่บ่งบอกถึงหน้าที่ในตัวเอง ก็คือ “ผู้” ที่มีหน้าที่นำ “การ” หลาย ๆ อย่างมา “ประกอบ” เข้าด้วยกัน อาทิ การผลิต การขาย การตลาด การบริการลูกค้า การบัญชี การบริหารทรัพยากรบุคคล การดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ฯลฯ

          โดยในเรื่องบัญชี... SME หลายรายมักมองข้ามเรื่องบัญชี หรือให้สำนักงานบัญชีจัดการให้เสร็จสิ้น โดยขอแค่ไม่โดนปรับ แต่แท้จริงแล้ว “การบัญชีคือภาษาของธุรกิจ” การทำบัญชีที่โปร่งใสและถูกต้องเปิดโอกาสทางธุรกิจหลายอย่าง เช่น การพูดคุยกับธนาคาร หรือการใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ หากบัญชีไม่ดี (เช่น ทำบัญชี 2 เล่ม) จะทำให้โอกาสในการทำ M&A (ควบรวมกิจการ) หรือการระดมทุนจาก VC/PE ปิดลงทันที เพราะนักลงทุนจะมองว่าคุณหลอกแม้กระทั่งตัวเอง ผู้ประกอบการควรเข้าใจพื้นฐานบัญชีเพื่อให้สามารถใช้มันได้ในวันที่จำเป็น

          การบริหารจัดการบุคลากรก็เป็นเรื่องสำคัญ และเป็นงานที่วุ่นวายตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อต้องบริหารคนต่างรุ่น (Intergeneration) สิ่งที่คนรุ่นเก่าเคยเชื่อ เช่น การทุ่มเทกับงานจนถึงเช้า อาจถูกมองว่าเป็นการขาด Work-Life Balance จากคนรุ่นใหม่ (Gen Z) การบริหารงานจึงต้องทำด้วยความเข้าใจโลกยุคใหม่ด้วย เป็นต้น นอกจากนั้น ในปัจจุบัน องค์กรต้องมองว่ามนุษย์ไม่ได้เป็น Resource เดียวในองค์กรแล้ว แต่มีทรัพยากรประเภทอื่นเข้ามาด้วย โดยเฉพาะ “AI” ยกตัวอย่างบริษัทตนเองที่เปลี่ยนชื่อแผนก HR มาเป็น “Human and AI Resources” เพื่อวาง Road Map การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI

          อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการต้องจัดการ คือ การบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ผู้ซึ่งไม่ได้มีแค่ลูกค้าและ Supplier แต่ยังรวมถึง ชุมชน ผู้ถือหุ้น นักลงทุน ฯลฯ ยังมีเรื่องคู่แข่ง ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศหรืออุตสาหกรรมเดิม แต่สามารถมาได้จากทุกทิศทางหรือแพลตฟอร์มอื่น

อย่างไรก็ตาม "การ" ที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการ คือ
“การตัดสินใจ” (Decision Making) ในเรื่องต่าง ๆ
เช่น จะทำ จะสู้ จะถอย จะเปลี่ยน หรือจะทำอะไรสักอย่าง
หากไม่ตัดสินใจ ทน ๆ ไปแบบเดิม ก็อาจนำไปสู่ความเสี่ยงได้


กฎแห่งโอกาส

          คุณไผท เล่าจากประสบการณ์ว่า โลกของธุรกิจนั้น จะมีกฎอยู่ 2 ข้อ คือ
          1. ที่ไหนมีความ "ห่วย ช้า แพง" ที่นั่นมีโอกาส ถ้าเราสามารถทำให้ ดีขึ้น เร็วขึ้น ถูกลง นั่นคือโอกาสทางธุรกิจ

          2. ลูกค้าไม่เคยมีคำว่า "พอ" แต่ลูกค้าต้องการ "More" เสมอ หากมีคู่แข่งรายใหม่ที่ดีกว่า เร็วกว่า ถูกกว่า ลูกค้าพร้อมจะเปลี่ยนไปทันทีโดยไม่ต้องคิด


พลังสองซีกในการขับเคลื่อนองค์กร

          องค์กรที่เข้มแข็งต้องขับเคลื่อนด้วยพลังสองซีกที่สมดุลกัน (ตามแนวคิดของ Hermanwan Kartajaya) ได้แก่

          1. C-I-E-L: Creativity, Innovation, Entrepreneurship, Leadership

          2. P-I-P-M: Productivity, Improvement, Professionalism, Management 

          ยกตัวอย่างคู่แรก เรื่อง การปรับสมดุลระหว่าง Productivity และ Creativity ในช่วงวิกฤต ตนเคยสั่งให้ทีมงานหยุดคิดอะไรใหม่ ๆ แล้วทำตามที่สั่งเพื่อเอาตัวรอดไปก่อน (เน้น Productivity) ซึ่งแม้จะช่วยให้บริษัททำกำไรได้ แต่ก็ทำให้คนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์รู้สึกว่า บริษัทไม่เอื้อให้เขาทำอะไรที่ Creative สุดท้ายก็ต้องเสียคนเหล่านี้ไป เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน

          เรื่อง Entrepreneurship (เถ้าแก่) กับ Professionalism (มืออาชีพ) ก็ต้องสร้างความสมดุล เจ้าของธุรกิจ (เถ้าแก่) อาจจะพอใจเมื่อธุรกิจแตะหลัก 100 ล้านบาท และคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดเพราะสร้างมาเอง แต่นักลงทุน (มืออาชีพ) จะชี้ให้เห็นว่าทำไมถึงหยุดอยู่แค่ 100 ล้าน และจะไปต่อยังไง วิธีการตัดสินใจของคนสองกลุ่มนี้แตกต่างกัน

          •    มืออาชีพ ชอบ Make right decision คือ ตัดสินใจให้ถูกต้อง โดยอ้างอิงจากข้อมูลและ Frame Work ที่แน่นหนา

          •    เถ้าแก่ ชอบ Make decision right คือ ตัดสินใจไปก่อน แล้วค่อยหาทางทำให้มันถูกเอง
การจ้างมืออาชีพที่เก่งกว่ามาบริหาร อาจเป็นทางเลือกในการเติบโต คนกลุ่มนี้จะมาพร้อม Connection และ Process ที่ดีกว่า ทำให้ธุรกิจสามารถก้าวข้ามจาก 100 ล้านไปสู่ 500 ล้านได้ไม่ยาก แม้การทำงานแบบมืออาชีพจะทำให้บริษัทมี KPI ชัดเจน มีคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และดูเหมือน "ยุ่งยาก" สำหรับเถ้าแก่ แต่มันทำให้ธุรกิจดีขึ้นและเดินไปได้ต่อ


บันได 8 ขั้น...การเดินทางสู่ "กำไรอย่างยั่งยืน"

          แนวคิดในการทำธุรกิจที่น่าสนใจ คือ แนวคิด "ตกปลาริมตลิ่ง" vs "ดำน้ำหาปลาวาฬ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักคว้าเบ็ดมาตกปลา "ริมตลิ่ง" ทันทีที่มีโอกาส (Me-too Business) แต่การคิดแบบ Long Term คือการ "กระโดดดำน้ำลงไป" ออกไปในจุดที่เป็นสะดือทะเล เพื่อหา "ปลาวาฬ" (โอกาสใหญ่) ซึ่งมีความเสี่ยงสูง (90% ของธุรกิจนวัตกรรมตายกลางทาง) แต่เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าเราไม่อยากเป็นประเทศที่เก็บได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย ดังนั้น การเติบโตของธุรกิจจึงเป็นเหมือนการเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ ซึ่งสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่ควรมีการเติบโตเป็นไปตามบันได 8 ขั้น ดังนี้

  1. เข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้
  2. มี Solution หรือ Product มาแก้ไขปัญหานั้น
  3. มี Business Model ที่สามารถ Commercialize และขายได้จริง มีลูกค้าพร้อมจ่ายเงิน
  4. มีตลาดขนาดใหญ่ และสามารถขยายตัวได้ จะเป็นช่วงโตเร็ว (Growth Hacking) สามารถขยายตัวแบบ 2-3 Digits ได้ เช่น การระดมทุน Series A
  5. ขายได้ โดยไม่ได้พึ่งเจ้าของธุรกิจเป็นหลัก สามารถขยายบริษัทได้โดยไม่พึ่งเถ้าแก่ สามารถสร้างตัวแทน หรือ Director Level มาบริหารได้
  6. มีระบบบริหารจัดการที่ดีรองรับการขยายตัว โดยใช้ระบบหรือ AI เข้ามาแทนคน ในกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งนี่คือโอกาสทองที่ SME จะแข่งกับ Corporate ได้ เพราะต้นทุน AI ถูกมาก
  7. ขยายตัวต่อเนื่อง โดยไม่เสียฐานลูกค้าเก่า
  8. ทำกำไรได้อย่างยั่งยืน ต้องมีการลงทุนกับนวัตกรรมเพื่ออนาคต

Business Development…นักทำคลอด S Curve ใหม่

          ธุรกิจ SME เมื่อเดินมาได้สักระยะหนึ่ง มักจะเจอจุดที่เรียกว่า "เพดานที่มองไม่เห็น" ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ธุรกิจไปต่อลำบาก ถ้าธุรกิจติดอยู่ตรงนี้ มันจะเข้าสู่ Death Zone ธุรกิจจึงจำเป็นต้องมี "New S Curve" เพื่อให้ธุรกิจไปได้ต่อ ซึ่งการจะมี New S Curve ได้ ต้องอาศัย Business Development (BD) มาช่วยทำคลอดธุรกิจใหม่ ๆ

          บทบาทหน้าที่หลัก ๆ ของ BD คือ Build New Connection, Research Industry, และปรับ Business relationship และเมื่อ BD สร้างธุรกิจใหม่จนตั้งไข่ได้แล้ว ก็จะส่งมอบให้ทีม Operations Marketing/ Sales รับไปดำเนินการให้เป็นธุรกิจปกติ ส่วน BD ก็จะไปสร้าง S Curve ถัดไป



          ในยุคที่ตลาดเปลี่ยนแปลงเร็ว การตัดสินใจจึงสำคัญที่สุด เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ทำแบบเดิมไปเรื่อย ๆ การผสานพลังของ เถ้าแก่ (Entrepreneurship) ที่กล้าได้กล้าเสีย กับ มืออาชีพ (Professionalism) ที่ทำงานตามระบบ และการใช้เทคโนโลยีอย่าง AI เข้ามาช่วยสร้างระบบ เพื่อให้ SME สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ นี่แหละคือ Mindset ที่จะพาธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

          ดังที่กล่าวในตอนต้น การขับเคลื่อนองค์กรต้องมีการปรับสมดุลให้เหมาะสม เหมือนกับการปรับจูนเครื่องยนต์ การใช้พลังงาน C-I-E-L คือการติดเครื่องและออกตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยความคิดสร้างสรรค์ และแรงขับของเถ้าแก่ แต่เมื่อต้องการวิ่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง และปลอดภัยในระยะทางไกล เราจำเป็นต้องเปิดใช้งานพลังงาน P-I-P-M เพื่อเข้าสู่โหมดการจัดการที่เป็นระบบ ซึ่งหมายถึงการดูแลเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพ (Productivity) และบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ (Improvement) เพื่อให้เราไม่ถูกแซงโดยคลื่นลูกใหม่ที่มาเร็วกว่าและดีกว่า

 


อ้างอิงจาก การบรรยายพิเศษหัวข้อ “SME 4.0 พลิกวิธีคิด สร้างธุรกิจเติบโตที่พร้อมเติบโตในทุกยุคสมัย”
โดย คุณไผท  ผดุงถิ่น CEO และผู้ก่อตั้ง BUILK ONE GROUP
ในงานมหกรรม SMEs หอการค้า 5 ภาค วันที่ 29 ตุลาคม 2568 โรงแรมโกลเด้นซิตี้ จ.ระยอง

 

ข่าวอื่นๆ