
TCC On-site Visit @ BYD ถอดบทเรียนการผลิตแบบครบวงจร (Vertical Integration) จุดแข็งสำคัญที่ทำให้ BYD เหนือกว่าคู่แข่ง พร้อมเปิดบ้านต้อนรับคณะเข้าเยี่ยมชมโรงงานประกอบรถยนต์ BEV
คุณเซียว ไห่ ผิง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ให้เกียรติต้อนรับและบรรยายถึงประวัติความเป็นมาขององค์กร จุดเริ่มต้น ปี 1995 : หวัง ชวนฟู ก่อตั้งบริษัท BYD ขึ้นในเมืองเซินเจิ้น โดยเริ่มต้นจากการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ปี 2003 : BYD เข้าสู่ธุรกิจยานยนต์ โดยการเข้าซื้อกิจการของ Qinchuan Automobile และเปลี่ยนชื่อเป็น BYD Auto
ปี 2008 : BYD เปิดตัวรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของโลกคือ BYD F3DM และเริ่มพัฒนาไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
คุณเซียว ไห่ ผิง ได้บรรยายความเป็นมาของ โรงงานแห่งนี้ เริ่มเดินสายการผลิตตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 5,800 คน โดยมีผู้บริหารระดับสูงราว 40 คน และวิศวกรกว่า 300 คน ทั้งนี้ พนักงานในสายการผลิตทั้งหมดเป็นคนไทย 92% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีเพียง 80% และคาดว่าปลายปีนี้จะขยับเป็น 95% ของทั้งหมด โดยมีหัวหน้าทีมเป็นคนไทยเช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ BYD ที่ต้องการพัฒนาและยกระดับบุคลากรไทยในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
สำหรับความคืบหน้าในการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ขณะนี้ BYD มีสัดส่วนอยู่ที่ 54% เพิ่มขึ้นจากราว 40% เมื่อปีที่ผ่านมา โดยมีซัพพลายเออร์ท้องถิ่นกว่า 35 รายที่ร่วมผลิตชิ้นส่วนให้กับโรงงาน คิดเป็นกว่า 529 รายการ บริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนนี้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้การอบรมและพัฒนาซัพพลายเออร์ไทยให้เติบโตไปด้วยกัน
ส่วนด้านการส่งออกตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้ BYD ได้เริ่มส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศเวียดนาม และวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ขยายการส่งออกไปยุโรป 3 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ เยอรมนี และเบลเยียม โดยปีนี้มียอดส่งออกกว่า 3,300 คัน และตั้งเป้าจะขยายให้ถึง 10,000 คันภายในสิ้นปี พร้อมกันนี้ ตั้งแต่เริ่มดำเนินสายการผลิตในไทย มีกำลังการผลิตสะสมแล้วกว่า 55,000 คัน และคาดว่าทั้งปีจะผลิตได้กว่า 40,000 คัน หรือเกือบเต็มศักยภาพการผลิต โดยกำลังผลิตเฉลี่ยเดือนละ 5,000–6,000 คัน
ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดรถยนต์ในไทยมียอดขายรวมประมาณ 600,000 คัน โดยเป็นรถยนต์ไฟฟ้าราว 100,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นราว 40% จากปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่กำลังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดไทย ซึ่งยังคงรักษาสถานะการเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก
อย่างไรก็ดี แม้ประเทศไทยยังคงเผชิญความท้าทายบางด้าน ทั้งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและกำลังซื้อในประเทศ แต่ก็ถือเป็น “โอกาสทอง” ที่จะต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานใหม่ของภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้น


