SMART to Know: การฟันฝ่าอุปสรรคของศรีฟ้าเบเกอรี่

 

          เชื่อว่ามีหลายคนที่เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ แล้วเจอกับเบเกอรี่หน้าตาแสนอร่อยของศรีฟ้า (Srifa) แต่กว่าที่จะมีวันนี้ ก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองไม่น้อย...ในงานมหกรรม SMEs หอการค้า 5 ภาค ครั้งที่ 4 ณ จังหวัดขอนแก่น คุณวิเชียร  เจนตระกูลโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ด จำกัด ได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การสร้างและพัฒนาธุรกิจท่ามกลางวิกฤตและความท้าทายต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับ SMEs เพื่อการก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

 

Chapter 1: จุดเริ่มต้นจากอาชีพคนจน

          คุณวิเชียร เล่าว่า “ศรีฟ้า” เริ่มต้นจากธุรกิจที่เรียบง่าย โดยเป็นร้านทำขนมเล็ก ๆ และเป็นอาชีพที่เขาไม่ได้ชื่นชอบอะไรเลย นอกจากนั้น คนทำอาหารในยุคก่อนอาจถูกมองว่าเป็น "อาชีพคนจน" เพราะอุปกรณ์มีราคาถูก ใคร ๆ ก็สามารถเข็นรถเข็นไปขายโดนัทได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มต้นด้วยร้านเล็ก ๆ ที่ทำคนเดียวทุกอย่าง ทั้งเก็บเงินเอง ล้างของเอง และขายได้ไม่กี่บาท ยอดขายในบางวันไม่พอแม้แต่ค่านมลูกด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ยังต้องเอาชนะวิกฤตภายใน นั่นคือพยายามเอาชนะการไม่สนับสนุนจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งให้ทรัพยากรที่จำกัด ธุรกิจนี้จึงเป็นเพียงการเอาตัวรอดไปวัน ๆ แต่ก็ยังมองว่า “ถ้าเรารู้จักพัฒนา มันจะไปได้เรื่อย ๆ”

          “การพัฒนาธุรกิจเล็ก ๆ ให้เติบโตขึ้นนั้น เปรียบเสมือนการเดินขึ้นเขา ซึ่งเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและอุปสรรค” ปรัชญาเล็ก ๆ ของคุณวิเชียร ทำให้เขาเป็นนักสู้ซึ่งเข้าใจความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งภายหลังที่ธุรกิจเติบโตขึ้นจนสามารถขยายสาขาได้แล้ว ก็ยังมองว่าไม่ใช่จะสบาย เพราะจะมีปัญหาใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ เช่น การที่ไม่สามารถเฝ้าดูแลทุกสาขาได้เหมือนเดิม


Chapter 2: วิกฤตใหญ่ครั้งแรก..ขยายโรงงานเพื่อร้านสะดวกซื้อ

          วิกฤตที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตธุรกิจของคุณวิเชียร คือการตัดสินใจขยายโรงงานเพื่อรองรับการผลิตสินค้าส่งให้กับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่

          •    การขยายตัวแบบก้าวกระโดด ในปี 2547 ร้านสะดวกซื้อรายหนึ่งสนใจเค้กฝอยทองของศรีฟ้าและเข้ามาติดต่อ ด้วยความดีใจอย่างมาก คุณวิเชียรตอบตกลงโดยรับคำสั่งซื้อทันที แต่เมื่อถูกถามถึงกำลังการผลิตต่อวัน ในใจที่รู้ว่าเคยผลิตได้ 900 ชิ้นต่อวันสำหรับการแข่งกีฬาจังหวัด แต่กลับตัดสินใจ "โกหก" ไปว่าทำได้ 2,000 ชิ้น แต่ทางร้านสะดวกซื้อต้องการถึง 20,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งเกินกว่ากำลังการผลิตไปมาก จึงคิดว่าต้องถอยออกมาและสร้างโรงงานใหม่

          •    หนี้สินท่วมท้น..ลงทุนเกินตัว เพื่อรองรับกำลังการผลิต 10 เท่านี้ ศรีฟ้าต้องถอยกลับมาสร้างโรงงานใหม่ในปี 2551 นี่จึงนำไปสู่ "มหกรรมกู้สารพัดโปรเจกต์" จากทุกธนาคาร โดยได้เงินกู้จากธนาคารประมาณ 80 ล้านบาท (ซึ่งไม่พอสร้างตึกด้วยซ้ำ) ซื้อที่ดิน 20 ไร่ สร้างโรงงาน เครื่องจักร และอีกสารพัด เมื่อเงินไม่พอ จึงต้องมีการกู้หนี้นอกระบบ ซึ่งมีดอกเบี้ยสูง และกู้ยืมจากเพื่อนชาวสิงคโปร์ เพื่อจ่ายค่าเครื่องจักรหุ่นยนต์ (Robot) จากเยอรมนีที่มีราคาสูงถึง 7 ล้านบาทต่อตัว การลงทุนครั้งนี้ทำให้เกิดภาระหนี้ก้อนใหญ่

          •    ความยากลำบากในการปรับตัว เมื่อเครื่องจักรใหม่มาถึง โรงงานก็เปรียบเสมือนเปลี่ยนจากการ "ขี่จักรยานทำเค้ก" เป็นการ "ขับรถถัง" ทำให้การทดลองเครื่องจักรยักษ์ใหม่ (เช่น เตาอบอุโมงค์ และเครื่องทำขนมโรบอต) ล้มเหลว มีวัตถุดิบเสียหายไปกว่า 20-30 ตัน

          •    วิกฤตสภาพคล่อง เมื่อเริ่มส่งสินค้าให้ร้านสะดวกซื้อ ในเดือนพฤษภาคม 2552 สามารถส่งได้ถึง 50,000 ชิ้นต่อวันในช่วง 15 วันแรก แม้จะขายดีมากจนดู "ท่าจะรวย" แต่กลับเกิดวิกฤตสภาพคล่องจนเกือบต้องปิดกิจการ เนื่องจากร้านสะดวกซื้อจะจ่ายเงินคืนหลัง 60 วันบวก 1 สัปดาห์ หรือรวมแล้วประมาณ 70 วัน ในช่วงสองเดือนนี้ เจ้าหนี้ทุกทิศทางต่างรุมเข้ามา คุณวิเชียรเล่าว่านี่เป็นช่วงที่เขา "อยากตาย" และไม่รู้จะพาครอบครัวมาอยู่ตรงนี้ทำไม

          •    ทางออกจากความมุ่งมั่น ด้วยความพยายามมากมายได้นำพาคุณวิเชียรมาเจอกับธนาคารสีม่วง ซึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เติมเงินให้เกือบ 100 ล้านบาท และรีไฟแนนซ์หนี้เก่า รวมแล้วเกือบ 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่สิ่งสำคัญคือ คุณวิเชียรไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ธนาคาร (แม้จะผิดนัดหนี้นอกระบบ แต่ก็ทยอยจ่ายพร้อมดอกเบี้ยเสมอ) การได้เงินทุนใหม่ทำให้เขาสามารถกลับมาจ่ายค่าแป้ง ค่าไข่ และดำเนินธุรกิจต่อได้


Chapter 3:  การเติบโตเชิงกลยุทธ์

          หลังจากวิกฤตร้านสะดวกซื้อผ่านพ้นไป ศรีฟ้าเริ่มส่งสินค้าให้โมเดิร์นเทรดอื่น ๆ เช่น Lotus และเครือ Minor International ในปี 2561 ศรีฟ้าเริ่มผลิตครัวซองต์ส่งให้กับเครือ Minor (เช่น BreadTalk) และเมื่อผลิตไม่ทัน จึงมีพูดคุยกับคุณไฮเนกี้ จนได้ร่วมทุนกับ Minor International ซึ่งเป็นเชนธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน และเป็นเจ้าของร้านอาหารชั้นนำในไทยมากมาย ท้ายที่สุดแล้ว ตอนเซ็นสัญญา Minor ได้เปลี่ยนเงื่อนไขและขอถือหุ้นใหญ่ 51% ซึ่งคุณวิเชียรตัดสินใจยอมรับเงื่อนไขนี้ แม้จะเสียเปรียบทางตัวเลข 2% แต่เขามองว่านี่คือโอกาสที่จะได้ร่วมเดินไปกับ “ยักษ์ใหญ่” โดยการร่วมทุนนี้นำไปสู่การก่อตั้งโรงงานใหม่ในชื่อ “Art of Baking” (AOB) ซึ่งข้อดีที่ได้รับก็คือ Minor มีอำนาจในการต่อรองสูง ทำให้สามารถซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่ (เช่น เครื่องทำครัวซองต์ 15,000 ชิ้นต่อชั่วโมง) ราคาจริง 110 ล้านบาท สามารถซื้อได้ในราคา 80 ล้านบาท เป็นต้น ทำให้ศรีฟ้า ณ วันนั้น มีเงินทุนจดทะเบียนรวม 310 ล้านบาท และมีการกู้ยืมรวมประมาณ 800 ล้านบาท


Chapter 4: วิกฤตโควิด-19 หยุดเพื่อสร้างประสิทธิภาพ

          โรงงาน AOB ได้เปิดดำเนินการในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 แต่เพียง 10 วันต่อมา ก็มีการประกาศล็อกดาวน์เนื่องจากสถานการณ์โควิด!! ทั้งโรงงานใหม่ที่เพิ่งเปิดและโรงงานเก่า (ที่ส่งร้านสะดวกซื้อ) ได้รับผลกระทบทั้งหมด เพราะห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารปิดตัวลง ทำให้ขายสินค้าไม่ได้ แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ก็คือการจัดการพนักงาน 800 คน เพราะเมื่อมีคนงานเพียงคนเดียวติดเชื้อ โควิดก็จะแพร่กระจายไปในแผนกต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะตื่นตระหนก จนคุณวิเชียรต้องขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยประกาศปิดโรงงาน 1 เดือน เพื่อเคลียร์ปัญหา และช่วยเหลือสาธารณสุขอย่างเต็มที่

          การหยุดกิจการ 1 เดือน ทำให้คุณวิเชียรมีเวลาคิดและวิเคราะห์ในเรื่องต่าง ๆ จนพบว่า ธุรกิจขนาดใหญ่เมื่อโตถึงจุดหนึ่งจะมี "จุดตาย" หากบริหารไม่ดี หลังจากการวิเคราะห์และกลับมาเปิดใหม่ใน 3 เดือนต่อมา เขาคัดเลือกพนักงานที่ไม่ใช่ฝ่ายบริหาร จาก 800 คน เหลือเพียง 540 คน แต่ยังสามารถผลิตได้เท่าเดิม ซึ่งในปีโควิดนั้น มียอดขายลดลงจาก 700 ล้านเหลือ 600 ล้านบาท แต่กลับมีกำไรเพิ่มขึ้น 2 เท่า (จาก 2 ล้านบาท เป็น 4 ล้านบาท) นี่คือ “ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง”
คุณวิเชียรถึงกับกล่าวติดตลกว่า "ขอบคุณโควิด สะระณัง คัจฉามิ" เพราะทำให้บริษัทได้หยุดคิดและปรับปรุง


Chapter 5: ก้าวสู่ตลาดโลก

          หลังจากผ่านวิกฤตโควิดและโรงงาน AOB เดินหน้าได้เต็มที่ ในปี 2566 มีบริษัทจากยุโรป 2-3 แห่ง และจากญี่ปุ่น 1 แห่ง เข้ามาติดต่อขอซื้อ Art of Baking สุดท้ายคุณวิเชียรเลือกบริษัท Eurobake ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านโดนัทของโลก (อันดับ 5 ของโลก) ที่มีโรงงานใน 21 ประเทศ และมียอดขายปีละ 80,000 ล้านบาท ทีมลงทุนของ Eurobake เสนอซื้อหุ้นในราคาที่สูงมากคือ 2 เท่าของราคาประเมิน ซึ่งถือเป็นการซื้อที่แพงที่สุด เท่าที่ Eurobake เคยทำมาใน 21 ประเทศทั่วโลก ดังนั้น ศรีฟ้าจึงตกลงขายหุ้น 60% ให้กับ Eurobake ส่วนคุณวิเชียรและคุณไฮเนกี้ (Minor) ยังคงถือหุ้นรวมกัน 40%

          เม็ดเงินที่ได้ในการขายหุ้นจากดีลที่เหนือความคาดหมายนี้ ถูกนำไปลงทุนสร้างโรงงานเพื่อผลิตโดนัท (ชั่วโมงละ 8,000 ชิ้น 2 ไลน์การผลิต) และทำให้ศรีฟ้าได้รับตลาดมูลค่า 400 ล้านบาท จากคู่ค้าใหม่


Chapter 6: ปรัชญาธุรกิจและการส่งต่อ

          ศรีฟ้ายังคงยึดมั่นในปรัชญาที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นคือ การเป็นร้านที่มีเบเกอรี่ที่ดีที่สุดในชุมชน แต่ไม่ใช่แพงที่สุด ตัวอย่างเช่น ชิโอปัง ที่อื่นอาจขาย 39-55 บาท แต่ศรีฟ้าขายเพียง 19 บาท ซึ่งการขายในปริมาณมาก จะทำให้มีกำไรเข้ามาเอง ดังนั้น “คุณค่าและราคาที่เข้าถึงได้” จึงเป็นความตั้งใจที่มีมาตลอด

          สำหรับการส่งผ่านธุรกิจสู่รุ่นลูก คุณวิเชียรเชื่อมั่นในลูกชาย (คุณอาร์ต) ในการเข้ามาบริหารต่อ และมองว่า การส่งผ่านธุรกิจจากพ่อไปสู่ลูกนั้น "ยิ่งกว่าค่าเล่าเรียนส่งลูกไปเรียนเมืองนอก" เขาอนุญาตให้ลูกชายลองผิดลองถูก (แม้จะเคยเจ๊งไป 30 ล้านบาท) โดยถือเป็นค่าเล่าเรียนที่คุ้มค่า ปัจจุบันลูกชายสามารถทำงานแทนเขาได้ทั้งหมด


Chapter 7: คำแนะนำสำหรับ SME

          เมื่อถูกถามถึงสิ่งที่ SMEs ควรทำ คุณวิเชียรเน้นย้ำ 3 ประเด็นหลัก คือ

1.    Mindset ที่ดี ต้องเชื่อมั่นในธุรกิจที่ทำ มุ่งหน้าไปข้างหน้าอย่างเดียว พัฒนาธุรกิจนี้ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับพัฒนาตนเองตลอดเวลา อย่าเปลี่ยนธุรกิจบ่อย เพราะจะไม่ได้ประสบการณ์ที่ต่อเนื่อง

2.    ธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์ ต้องจ่ายหนี้ทุกบาทให้หมด ห้ามโกงใคร และจ่ายภาษีให้เต็มและครบถ้วน 100% พร้อมย้ำว่าการเสียภาษี 100% ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ และพร้อมที่จะเจรจาหรือร่วมทุนกับบริษัทรายใหญ่

3.    ความมุ่งมั่นและเวลา การเป็น SMEs เป็นหนทางที่ยาวไกล ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็น "อายุ น้อย ร้อยล้าน" ต้องมีการพัฒนาตนเองตลอดเส้นทาง ในระหว่างทางก็ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แก้ปัญหา และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง


Chapter 8: การปรับตัวรับเทรนด์สุขภาพและแผนในอนาคต

          ศรีฟ้ามีการปรับตัวเข้ากับเทรนด์สุขภาพ โดยเน้นที่การใช้กระบวนการทางธรรมชาติ เช่น การใช้ Sourdough (ขนมปังที่ทำจากกระบวนการหมักธรรมชาติ) ขนมปังทุกชนิดที่ร้านสีฟ้าปัจจุบันเป็น Sourdough ทั้งหมด ทำให้ไม่จำเป็นต้องใส่สารกันเสีย นอกจากนั้น ยังใช้วัตถุดิบคุณภาพ โดยใช้เนยสดเป็นส่วนใหญ่ (ใช้เนยหลักจากนิวซีแลนด์ หากใช้มาการีน ก็ต้องเป็นมาการีนที่สั่งทำพิเศษที่ไม่มีไขมันทรานส์) นอกจากนี้ยังใช้สารธรรมชาติ เช่น วิตามินซี (Ascorbic acid) และกรดจากนม มาใช้เพื่อต้านการเน่าเสีย

          ส่วนเป้าหมายในการเติบโตนั้น ปัจจุบัน ศรีฟ้ากลับมาเปิดสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ โดยตั้งเป้าจะปิดจบที่ 90 สาขาในปีนี้ และจะขยายเป็น 500 สาขาภายใน 4 ปี รวมทั้งตั้งเป้าหมาย IPO จะนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในเร็ว ๆ นี้


          จากร้านเล็ก ๆ ในวันนั้น สู่การเป็นธุรกิจที่เติบใหญ่ได้ในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้...การต่อสู้ของ “ศรีฟ้า” เป็นคำตอบของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้ คือ ในทุกธุรกิจล้วนมีปัญหา ไม่ใช่ว่าธุรกิจใหญ่แล้วจะสบายกว่าธุรกิจเล็ก ไม่ใช่ว่าธุรกิจเล็กจะเติบโตเป็นธุรกิจใหญ่ไม่ได้ ทุกสิ่งที่ได้มาล้วนต้องมีการต่อสู้ มีจังหวะเวลาที่เหมาะสม มีการเรียนรู้พัฒนา ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ พร้อมด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว อดทนไม่ย่อท้อ...นี่คือเคล็ดลับที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ!!

 

 

อ้างอิงจาก การบรรยายพิเศษหัวข้อ “การฟันฝ่าก้าวผ่านอุปสรรคของศรีฟ้าเบเกอรี่”
โดย คุณวิเชียร  เจนตระกูลโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท ศรีฟ้าโฟรเซนฟู้ด จำกัด
ในงานมหกรรม SMEs หอการค้า 5 ภาค วันที่ 2 ตุลาคม 2568 @ขอนแก่น

ข่าวอื่นๆ