สถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย 2568

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2568 พบว่าภาคครัวเรือนยังคงเผชิญภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงถึง 740,596 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 22% จากปีก่อน ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี โดยภาคครัวเรือนไทยส่วนใหญ่มีรายได้ 50,001–100,000 บาท/เดือน (30.9%) แต่กว่า 46.3% ไม่มีเงินออมฉุกเฉิน และในกลุ่มที่ออมได้ ส่วนมากระบุว่าเงินออมลดลงจากปีก่อน ขณะที่การประเมินสถานะทางการเงินเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว พบว่า เกือบครึ่ง (44.5%) สภาพการเงินไม่เปลี่ยนแปลง, 28.4% แย่ลง, และมีเพียงส่วนน้อยที่ตอบว่าดีขึ้น นอกจากนั้นกว่า 95% ของครัวเรือนไทยมีหนี้ โดยแบ่งเป็น

  • หนี้ในระบบ 65% (ผ่อนชำระเฉลี่ย 20,330 บาท/เดือน)
  • หนี้นอกระบบ 35% (ผ่อนชำระเฉลี่ย 8,023 บาท/เดือน)

สัดส่วนหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นชัดเจนจากปีก่อน (30.1%) สะท้อนถึงปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อในระบบที่ตึงตัว สถาบันการเงินปล่อยกู้น้อยลงต่อเนื่องหลายไตรมาส 

ประเภทหนี้สิ้นส่วนใหญ่ ได้แก่

  • บัตรเครดิต (46.8%)
  • ที่อยู่อาศัย (40%)
  • ยานพาหนะ (37.1%)
  • หนี้เพื่อประกอบธุรกิจ (35.3%)

จากการสำรวจยังพบว่า 59.3% ของครัวเรือนยังสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ขณะที่อีก 40% อยู่ในกลุ่มเปราะบาง โดยชำระหนี้ได้ไม่เกิน 6 เดือน หรือเสี่ยงไม่สามารถชำระได้เลย นอกจากนี้ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา 74.4% ของครัวเรือนเคยผิดนัดชำระหนี้ สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่ลดลง ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ตกงาน รวมถึงภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น

 

ด้าน รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า หนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และยังอยู่ในระดับสูงกว่า 80% ของ GDP โดยปี 2567 ครัวเรือนมีหนี้เฉลี่ยราว 600,000 บาท แต่ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 740,000 บาท หรือขยายตัวกว่า 22% สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ รายได้ไม่เพียงพอ ค่าครองชีพสูง และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ขณะที่สินเชื่อในระบบยังหดตัวต่อเนื่อง ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยพยุงกำลังซื้อและลดภาระหนี้ โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญคือ “คนละครึ่ง” หากอัดฉีดวงเงิน 50,000 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยดัน GDP ปีนี้ให้โตได้ 2% และหากเดินหน้าต่อเนื่องอาจทำให้เศรษฐกิจโต 3–4% ต่อปี ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่ำกว่า 80% ได้ใน 3 ปี นอกจากนี้ ภาครัฐยังต้องเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว หาตลาดส่งออกใหม่ รวมถึงออกมาตรการสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อให้การปล่อยสินเชื่อกลับมาเป็นบวกในไตรมาส 4 ปีนี้

 

ที่มา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

เรียบเรียงและจัดทำโดย ฝ่ายนโยบายยุทธศาสตร์ หอการค้าไทย

ข่าวอื่นๆ