Smart to Know: 10 ความเชี่ยวชาญ ที่เจ้าของธุรกิจครอบครัวต้องมี

          การเตรียมพร้อมสำหรับการสืบทอดกิจการของทุกธุรกิจครอบครัว ถือเป็นความจำเป็นที่ “ต้องมี” เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน หรือเกิดความผิดพลาดหากเตรียมทายาทผิดคน หรือหากคิดหาทางออกด้วยการหามืออาชีพมาบริหาร ก็ยังมีปัญหาจากการไม่เตรียมความพร้อมของเจ้าของกิจการ เช่น ผู้บริหารมืออาชีพอาจปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่สำคัญโดยไม่ปรึกษาเจ้าของกิจการ การระงับการจ่ายเงินปันผล หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นเบียดบังทุจริต นำเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และท้ายที่สุด อาจโน้มน้าวเจ้าของธุรกิจให้ขายธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาให้กับตนเองในราคาถูก ๆ (ซึ่งมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นจริง ๆ) ฯลฯ ธุรกิจครอบครัวที่ผู้ก่อตั้งบุกเบิกสร้างมาตลอดชีวิต อาจต้องจบด้วยสาเหตุแค่นี้

          การเป็นเจ้าของธุรกิจครอบครัวนั้นทรงพลัง เนื่องจากได้รับการมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจในเกือบทุกแง่มุมของธุรกิจ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวในระยะยาวของบริษัท ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวอยู่รอดได้ เจ้าของธุรกิจจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่สำคัญนี้ ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถเรียนรู้การเป็น “เจ้าของธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ” (Effective Owner) ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาขั้นสูง แต่สิ่งที่ธุรกิจครอบครัวต้องการ คือ ความเต็มใจที่จะเรียนรู้และนำหลักการแห่งความเป็นเจ้าของไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

10 คุณสมบัติของ “เจ้าของกิจการที่มีประสิทธิภาพ”

          คุณสมบัติสำคัญของ Effective Owner ที่เจ้าของกิจการทุกคนควรพัฒนา เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวอย่างมีประสิทธิภาพนั้น มิได้หมายถึง การบริหารจัดการธุรกิจโดยตรง เนื่องจาก “การเป็นเจ้าของ” แตกต่างจาก “การบริหาร” เจ้าของธุรกิจสามารถมีบทบาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการดำเนินงานประจำวัน แต่ควรมีความเชี่ยวชาญในคุณสมบัติ 10 ประการ ดังต่อไปนี้

1.    ประวัติและค่านิยม เจ้าของกิจการที่มีประสิทธิภาพควรต้องเข้าใจประวัติของครอบครัว และวิวัฒนาการของธุรกิจครอบครัวที่มีความผันผวน ทั้งช่วงเวลาที่รุ่งเรืองและช่วงเวลาท้าทาย การเข้าใจเรื่องราวการก่อตั้ง วิวัฒนาการของธุรกิจ และค่านิยมหลักอย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งจำเป็น

2.    โครงสร้างนิติบุคคล เจ้าของควรเข้าใจว่า โครงสร้างธุรกิจของตนเป็นแบบใด เพราะแต่ละรูปแบบมีผลต่อเจ้าของในด้านต่าง ๆ เช่น ภาษี การเข้าใจโครงสร้างช่วยให้สามารถจัดการภาระภาษีและลดความเสี่ยงได้

3.    การวางแผนมรดก เจ้าของต้องคำนึงถึงภาษีมรดกในเขตอำนาจศาลที่มีการบังคับใช้ และต้องรู้จักเครื่องมือในการโอนความเป็นเจ้าของอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้สิทธิยกเว้นภาษีการให้ การตั้งทรัสต์ และการทำประกันชีวิต รวมถึงต้องเข้าใจโครงสร้างของทรัสต์ บทบาทของผู้ดูแลทรัสต์ และผู้รับผลประโยชน์

4.    การกำกับดูแลธุรกิจครอบครัว ธุรกิจครอบครัวเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ได้แก่ ครอบครัว เจ้าของ คณะกรรมการ และฝ่ายบริหาร เจ้าของจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการตัดสินใจในแต่ละภาคส่วน บทบาทการมีส่วนร่วม และสิทธิรวมถึงความรับผิดชอบในกระบวนการตัดสินใจ

5.    การกำกับดูแลกิจการ เจ้าของกิจการที่มีประสิทธิภาพต้องเข้าใจหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี พร้อมกำหนดและปรับปรุงมาตรฐานเหล่านี้ผ่านเอกสารทางกฎหมาย เช่น ข้อบังคับบริษัทและข้อบังคับย่อย นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งกรรมการบริษัท ซึ่งจะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและสนับสนุนผู้นำธุรกิจ

6.    กลยุทธ์ของเจ้าของ เจ้าของธุรกิจเป็นผู้กำหนดนิยามความสำเร็จของธุรกิจ ครอบคลุมทั้งเป้าหมายทางการเงินและเป้าหมายอื่น ๆ พร้อมทั้งพัฒนากลยุทธ์ของเจ้าของที่ระบุวัตถุประสงค์ หลักการ และแนวทาง เพื่อกำหนดทิศทางให้คณะกรรมการและฝ่ายบริหาร

7.    การเงินองค์กร เจ้าของควรมีความรู้พื้นฐานด้านการเงินขององค์กร เช่น ตัวชี้วัดสำคัญ ได้แก่ ผลตอบแทนรวมแก่ผู้ถือหุ้น (Total Shareholder Return) อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไร และอัตราการจ่ายเงินปันผล นอกจากนี้ การเข้าใจแนวคิดการประเมินมูลค่าและการทำธุรกรรมก็เป็นประโยชน์เช่นกัน

8.    การเงินส่วนบุคคล การเงินส่วนบุคคลของเจ้าของมีผลต่อสุขภาพของธุรกิจ แม้เจ้าของจะได้รับเงินปันผลจากกำไร แต่การพึ่งพาเงินปันผลมากเกินไปอาจจำกัดความสามารถในการนำกำไรกลับมาลงทุนในธุรกิจ การจัดการการเงินส่วนบุคคลอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เจ้าของตัดสินใจทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

9.    การสื่อสาร การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของธุรกิจครอบครัว เนื่องจากบทบาทของสมาชิกครอบครัว เจ้าของ กรรมการ และผู้นำธุรกิจมีความเชื่อมโยงกัน การสื่อสารที่ดีจะสร้างความไว้วางใจ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ท้าทาย

10.    การเจรจาต่อรอง เจ้าของมักต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การมีทักษะการเจรจาต่อรองที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญต่อการแก้ไขประเด็น เช่น บทบาทของครอบครัวในธุรกิจ หรือการจัดสรรผลประโยชน์ทางการเงิน


          การพัฒนาสมรรถนะเหล่านี้ต้องใช้เวลา โดยเริ่มจากการประเมินระดับความรู้ปัจจุบันในแต่ละด้าน ดังนั้น เจ้าของธุรกิจครอบครัวจึงควรต้องกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำที่ต้องมี ครอบครัวสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรภายใน มีส่วนร่วมในโครงการภาคปฏิบัติ ทำงานกับที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ หรือเข้ารับการศึกษาจากสถาบันธุรกิจและหลักสูตรเฉพาะทาง ที่สำคัญ การละเลยไม่พัฒนาเจ้าของให้มีประสิทธิภาพอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อธุรกิจครอบครัว มรดก และอนาคตได้

 


อ้างอิงจากบทความ https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=512
 

ข่าวอื่นๆ