ธุรกิจครอบครัวในปัจจุบัน กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อคนรุ่น Gen Z เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่เนื่องจากคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อนมีความแตกต่างกันหลายด้าน ทั้งด้านค่านิยม ความคาดหวัง และความถนัดด้านเทคโนโลยี ซึ่งอาจทำให้เกิดทั้งความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ที่อาจส่งผลต่อการวางแผนสืบทอดธุรกิจ การสื่อสาร และการดำเนินธุรกิจโดยรวมได้
มีความแตกต่างมากมายระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อน อาทิ
• ค่านิยมและความคาดหวังที่ต่างกัน คน Gen Z มักให้ความสำคัญกับ “ความหมาย” ในงานที่ทำ ความยั่งยืน และผลกระทบทางสังคม มากกว่าผลกำไรเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจขัดแย้งกับคนรุ่นก่อนที่ยังยึดถือโมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิม
• รูปแบบการสื่อสารที่ต่างกัน คน Gen Z ชอบทำงานระยะไกล (remote work) และใช้วิธีการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการหรือผ่านช่องทางดิจิทัล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับธุรกิจครอบครัวที่ปกติจะเน้นให้ความสำคัญกับการพบปะพูดคุยแบบตัวต่อตัว และความสัมพันธ์ใกล้ชิดในครอบครัวมากกว่า
• การวางแผนสืบทอดธุรกิจ ความแตกต่างด้านวิสัยทัศน์ การจัดสมดุลชีวิตและงาน และความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในการถ่ายโอนตำแหน่งผู้นำ อาจทำให้กระบวนการสืบทอดไม่ราบรื่น
• ข้อจำกัดด้านทรัพยากร คนรุ่นใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจหรือเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัวอาจต้องการความพร้อมด้านทรัพยากร ทั้งเงินทุนและเครือข่ายธุรกิจ แบบ “กดปุ่ม” หรือค่อนข้างสำเร็จรูป โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการประกอบธุรกิจ ซึ่งแตกต่างจากคนรุ่นบุกเบิกที่ต้อง “สร้างเอง ทำเอง” จึงได้มา
• สุขภาพจิต คน Gen Z ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น และหลายคนก็ประสบปัญหาด้านสุขภาพจิต ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการจัดการความเครียดและความกดดันจากการทำธุรกิจ
• เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว แม้ว่าคน Gen Z จะถนัดเรื่องเทคโนโลยี แต่ก็อาจเกิดช่องว่างระหว่างความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของพวกเขา กับแนวทางการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมของคนรุ่นก่อน
การเข้ามาของคน Gen Z ใช่ว่าจะเป็นความท้าทายหรืออุปสรรคไปเสียทุกอย่าง หากแต่มีโอกาสที่คนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อน จะทำให้ธุรกิจครอบครัวมีความก้าวหน้าได้ด้วย นั่นคือ
• การทรานส์ฟอร์มธุรกิจด้วยเทคโนโลยี (Digital Transformation) โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ Gen Z เป็นจุดแข็งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจครอบครัวปรับตัวและแข่งขันได้ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
• ความมุ่งมั่นด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Impact Focus) เนื่องจาก Gen Z ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจและดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าเหล่านี้
• ความคิดสร้างสรรค์และการปรับตัว (Innovation and Adaptability) ด้วยความกล้าคิด กล้าลอง และการไม่ยึดติดกับกรอบเดิม ๆ ของคน Gen Z จะมีส่วนช่วยผลักดันนวัตกรรมและทำให้ธุรกิจพร้อมรับมือกับเทรนด์ใหม่ ๆ ในตลาดได้เป็นอย่างมาก
• ความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง (Diversity and Inclusion) เนื่องจาก Gen Z เติบโตท่ามกลางความหลากหลายและความเท่าเทียม จึงทำให้คน Gen Z สามารถนำมาใช้เป็นมุมมองใหม่ๆ ของธุรกิจ และทำให้แบรนด์เป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากขึ้น
• ความกล้าและความสามารถในการแก้ปัญหา (Resourcefulness and Assertiveness) จากความมั่นใจ กล้าตัดสินใจ และรู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ของคน Gen Z จะเอื้อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับการนำพาธุรกิจครอบครัวให้เติบโตขึ้นได้อย่างมาก
การทำให้ธุรกิจครอบครัวสามารถปรับตัวและผสานพลังระหว่างรุ่นได้อย่างราบรื่น ควรพิจารณาแนวทางดังนี้
• การสื่อสารอย่างเปิดเผย ควรมีการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา เปิดใจรับฟังมุมมองซึ่งกันและกัน เพื่อหาจุดร่วมที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
• การให้คำปรึกษาและการศึกษา ธุรกิจครอบครัวควรจัดให้มีการให้คำปรึกษาและการฝึกอบรม เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเตรียมความพร้อมให้คนรุ่นใหม่รับบทบาทผู้นำ
• การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ การผสานเทคโนโลยีเข้ากับกระบวนการธุรกิจ จะช่วยให้ธุรกิจทันสมัย และตอบโจทย์ความถนัดของ Gen Z
• การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน คนต่างรุ่นควรร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ธุรกิจ ที่ผสมผสานทั้งคุณค่าดั้งเดิมและแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วม
• การยอมรับความแตกต่าง การเคารพและเข้าใจความต่างระหว่างรุ่น เป็นกุญแจสำคัญสู่ความร่วมมือและบรรยากาศที่ดีในองค์กร
แม้คน Gen Z จะต้องเผชิญอุปสรรคมากมายในธุรกิจครอบครัว แต่หากธุรกิจสามารถประสานความต่างให้กลายเป็นพลังร่วมได้ ก็จะเป็นการปูทางไปสู่ความยั่งยืนและความสำเร็จในอนาคต
กุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การส่งต่อธุรกิจสำเร็จ คือ ทุนทางอารมณ์ (Emotional Capital) ซึ่งหมายถึง ความรัก ความไว้วางใจ ความรู้สึกผูกพัน และความรู้สึกเป็นเจ้าของ ที่สมาชิกครอบครัวมีต่อกัน และต่อธุรกิจ แล้วผู้นำธุรกิจควรทำอย่างไร เพื่อสร้างทุนทางอารมณ์ให้แข็งแรง และดึงดูดให้ทายาท Gen Z อยากจะสานต่อธุรกิจครอบครัว
1. ฟังทายาท Gen Z ให้มากขึ้น เนื่องจาก Gen Z ต้องการ “เสียง” ในการตัดสินใจ และต้องการให้ผู้ใหญ่รับฟังความคิดเห็นของพวกเขา ดังนั้น ทางเลือกสำหรับผู้นำธุรกิจครอบครัวที่อาจทำได้ อาทิ การจัดประชุมครอบครัว เพื่อเปิดให้ทายาทเสนอไอเดีย อย่าด่วนตัดสินหรือปฏิเสธความคิดต่างอย่างรวดเร็ว
กรณีตัวอย่าง
2. สื่อสารอย่างโปร่งใส การปิดบังเรื่องสำคัญ เช่น ปัญหาการเงิน หรือแผนอนาคต อาจทำให้รุ่นลูกไม่มั่นใจและรู้สึกห่างเหิน ดังนั้น การแชร์ข้อมูลสำคัญตามความเหมาะสม และการใช้ภาษาง่าย ๆ เพื่อสื่อสารให้ทายาทเข้าใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้
กรณีตัวอย่าง
3. เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้จริง เนื่องจากคน Gen Z เป็นกลุ่มที่ต้องการ “ลงมือทำจริง” เพราะมีความเชื่อบนพื้นฐานที่ว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ดังนั้น หากผู้นำธุรกิจครอบครัวจะเปิดใจให้สมาชิกรุ่น Gen Z ได้ทดลองทำงานจริงในแผนกต่าง ๆ และมอบหมายโครงการเล็กๆ ให้ดูแลเอง จึงย่อมจะทำให้คนกลุ่มนี้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเอง
กรณีตัวอย่าง
4. ให้พื้นที่สร้างสรรค์และทดลองสิ่งใหม่ คน Gen Z เป็นคนที่ชอบคิดนอกกรอบ ธุรกิจครอบครัวที่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีตอาจพลาดโอกาสใหม่ ๆ ได้ ฉะนั้น ควรเปิดพื้นที่ให้กับสมาชิกคนรุ่นใหม่ได้ลองผิดลองถูก เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ตลอดจนการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ
กรณีตัวอย่าง
5. แสดงความรักและความใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ ทุนทางอารมณ์ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่คือ “ความสัมพันธ์” ในครอบครัว ฉะนั้น การใช้เวลากับครอบครัวนอกเรื่องธุรกิจ ตลอดจนการแสดงความรักและให้กำลังใจบ่อย ๆ ย่อมจะทำให้คนรุ่นก่อนและ Gen Z มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้
กรณีตัวอย่าง
ความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัว คงหนีไม่พ้นเรื่องการส่งต่อธุรกิจ หากคนรุ่นหลังไม่ได้ “อิน” กับการเข้ามาร่วมในธุรกิจแล้ว ธุรกิจครอบครัวนั้นคงอยู่ได้ยาก ดังนั้น การทำความเข้าใจความแตกต่าง การรับฟังซึ่งกันและกัน ปรับมุมมองเข้าหากัน และสร้างทุนทางอารมณ์ จะเป็นปัจจัยที่นำธุรกิจครอบครัวไปสู่ความสำเร็จได้
โดยเฉพาะทุนทางอารมณ์ จะเป็นรากฐานที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวอยู่รอดและเติบโตได้จริงเมื่อต้องส่งไม้ต่อให้ทายาท ซึ่งมีมุมมองและความต้องการที่ต่างจากรุ่นก่อน สำหรับธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการสืบทอดแล้ว “เงิน” หรือ “เทคนิคการบริหาร” จึงมิใช่คำตอบสุดท้าย แต่ผู้นำครอบครัวต้องรู้จักสร้าง “ทุนทางอารมณ์” จนรุ่นลูกหลานรู้สึกว่า “นี่คือธุรกิจของฉัน และฉันอยากรักษาและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป”
อ้างอิงบทความจาก
https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=500
https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=501