Smart to Know: ถอดรหัสขอนแก่นแหอวน

 

หากพูดถึงธุรกิจครอบครัวที่เริ่มจากจุดเล็ก ๆ แต่สามารถเติบโตจนกลายเป็นผู้นำระดับโลก “ธุรกิจแหอวนจากขอนแก่น” คือตัวอย่างที่โดดเด่นของความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะไม่ได้หวือหวาอะไร

คุณบดินทร์  เสรีโยธิน ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท ขอนแก่นแหอวน จำกัด หนึ่งในทายาทตระกูลเสรีโยธิน เล่าให้ฟังในการอบรมหลักสูตร Family Business Thailand ว่า แต่เดิมครอบครัวขายข้าวสารอาหารแห้งทั่วไปในตลาด แต่ด้วยสายตาอันเฉียบคมได้สังเกตว่า สินค้าอุปกรณ์ประมงขายดีมาก จึงเริ่มเปลี่ยนทิศมาขายอวน และนำเข้าสินค้าจากสำเพ็ง ก่อนจะตัดสินใจผลิตเองในปี 2520 จากวันนั้นถึงวันนี้ ธุรกิจขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่เพียงแต่สร้างโรงงานในประเทศไทยถึง 6 แห่ง แต่ยังมีฐานการผลิตในจีน พม่า บราซิล และล่าสุดจับมือกับบริษัทอิตาลีเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทส่งออกไปแล้วกว่า 65 ประเทศทั่วโลก


ฟังเสียงลูกค้า พัฒนานวัตกรรม สู่การเติบโต

คุณบดินทร์เชื่อว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะ "สินค้า" เท่านั้น แต่เกิดจากแนวคิดในการเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง โดยกุญแจสำคัญของความยั่งยืนคือ “ฟังเสียงลูกค้า” และ “ปรับตามการเปลี่ยนแปลง” เช่นกรณีที่ชาวประมงมาเลเซียร้องเรียนว่าอวนขาดง่าย เนื่องจากใช้เครื่องจักรดึงขึ้นจากเรือ ทางบริษัทจึงปรับดีไซน์ให้ตรงจุด รับแรงทนทานยิ่งขึ้น นี่คือตัวอย่างของการใช้ความเข้าใจเป็นฐานสู่การพัฒนานวัตกรรม

นอกจากนี้ บริษัทยังต่อยอดจากธุรกิจหลัก สู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกหลายแขนง เช่น ผลิตเส้นใยสำหรับแปรงสีฟัน (ซึ่งใช้ในแบรนด์ชั้นนำหลายราย) ผลิตขนแปรงบรัชออนที่สาว ๆ ใช้แต่งหน้า พัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติที่ลูกค้าไม่ต้องบริหารจัดการเอง ธุรกิจโซลาร์เซลล์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทุกธุรกิจล้วนมีจุดร่วมเดียวกันคือ “การคิดจากมุมลูกค้า” และ “สร้างมูลค่าเพิ่มผ่านบริการ” เช่น ให้ลูกค้านำสินค้ามาฝากไว้ที่คลังของบริษัท เมื่อถึงเวลาขายก็จัดส่งให้ทันที โดยไม่ต้องจัดการสต๊อกเอง

แนวคิดที่ขับเคลื่อนธุรกิจนี้คือ “เข้าใจ สร้างสรรค์ และพัฒนา” โดยเน้นย้ำว่า เราต้องอยากรู้สิ่งที่ไม่ดีของสินค้าเรา เพื่อนำไปปรับปรุง เพราะการเปลี่ยนแปลงคือโอกาส และธุรกิจที่เติบโตได้ คือธุรกิจที่ “ตามทันโลกและเข้าใจผู้คน”


6 มิติ ในการบริหารจัดการธุรกิจครอบครัว (กงสี)

    ในมุมมองของคุณบดินทร์ การบริหารธุรกิจกงสีให้ประสบความสำเร็จได้นั้นจะมองใน 6 เรื่อง ได้แก่

1. Stakeholder: ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ลูกค้า และ คู่ค้า ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจ
•    ยึดหลัก “เข้าใจลูกค้า” เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงความต้องการ
•    สร้างความสัมพันธ์แบบ “พาร์ทเนอร์” กับคู่ค้า ด้วยความไว้วางใจ ไม่เอาเปรียบ ไม่แข่งราคากับคู่ค้า
•    ดูแลพนักงานในองค์กร ด้วยการบริหารที่ยึดหลักระบบ ไม่ใช่อารมณ์ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม
•    รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น บริจาคทุนการศึกษา สนับสนุนโรงพยาบาล และกิจกรรมเพื่อชุมชน

2. Relationship: ความสัมพันธ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เน้นสร้างความสัมพันธ์ในทุกระดับ ทั้งในครอบครัว พนักงาน และสังคม โดยยกตัวอย่างให้ฟังว่า
•    ภายในครอบครัว: ซึ่งมีสมาชิกกว่า 50 คน ต้องบริหารความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ด้วยธรรมาภิบาลและค่านิยมร่วม
•    สร้างความรัก ความผูกพัน ผ่านกิจกรรมและสวัสดิการ เช่น ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล สนับสนุนให้ลูกหลานมีความรู้สึกอยาก "ตอบแทน" ตระกูล
•    กับพนักงาน: ใช้แนวทางแบ่งปันผลกำไร และสร้าง sense of ownership
•    กับคู่ค้าและลูกค้า: เน้นความไว้วางใจและซื่อสัตย์ เสริมด้วยบริการที่เกินความคาดหวัง

3. Value: คุณค่า/ค่านิยม/ความเชื่อของตระกูล ธุรกิจตั้งอยู่บนรากฐานของคุณค่า 4 ประการหลัก ได้แก่
•    ซื่อสัตย์สุจริต
•    รับผิดชอบต่อสังคมและประโยชน์ส่วนรวม
•    กตัญญู อ่อนน้อม และมีน้ำใจต่อกัน
•    ทำงานร่วมกันอย่างสามัคคี

คุณค่าเหล่านี้ถูกกำหนดเป็น "ธรรมนูญครอบครัว" ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม เช่น ห้ามสมาชิกครอบครัวเล่นการเมือง เพราะเมื่อไรที่เข้าไปอยู่กับการเมืองจะมีฝั่งตรงข้ามเสมอ ซึ่งไม่ดีต่อธุรกิจ ห้ามทำธุรกิจสินเชื่อ เพราะถือเป็นการเอาเปรียบผู้อื่นที่เดือดร้อน สนับสนุนให้ทุกคนเติบโตและพัฒนาตัวเองเพื่อกลับมาตอบแทนครอบครัว เป็นต้น

4. Policy Decision Making: นโยบาย/ การตัดสินใจ การตัดสินใจที่เป็นระบบ โปร่งใส และมีส่วนร่วมจากหลายฝ่าย ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวมและส่วนบุคคล โดยมีโครงสร้างกรรมการที่ชัดเจน 3 ชุดหลัก คือ
•    กรรมการธุรกิจครอบครัว: ดูแลการลงทุนและทิศทางธุรกิจรวม
•    กรรมการดูแลทายาท: พิจารณาเงินเดือน โบนัส และผลตอบแทนที่เป็นธรรม
•    กรรมการครอบครัว: ดูแลสมาชิกในครอบครัวทุกสถานะ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี

5. Succession: การสืบทอด/ การหาตัวแทนต่อยอดความสำเร็จ แนวทางนี้ช่วยสร้างความภูมิใจ ความยุติธรรม และแรงจูงใจ ให้กับคนรุ่นใหม่ในการกลับมาสานต่อธุรกิจ โดยมีการกำหนดขั้นตอนที่ชัดเจนในการดึงทายาทเข้าสู่ธุรกิจ เช่น
•    ต้องมีประสบการณ์การทำงานนอกบ้าน อย่างน้อย 2 ปี
•    ผ่านการพิจารณาจากกรรมการธุรกิจครอบครัว
•    การเลื่อนตำแหน่ง ต้องผ่าน 2 ขั้นตอน ได้แก่ CEO และกรรมการธุรกิจครอบครัว
•    มีระบบ fast-track สำหรับคนเก่ง แต่ต้องมีผลงานรองรับ ไม่ใช่เพียงเพราะ "นามสกุล"

6. Governance: ธรรมาภิบาลธุรกิจ ใช้โครงสร้างแบบ Holding พร้อมระบบธรรมาภิบาลที่ครอบคลุม ซึ่งการบริหารแบบนี้จะช่วยรักษาความสมดุลระหว่างการเติบโตของธุรกิจ ความมั่นคงของสมาชิก และความกลมเกลียวของครอบครัวเช่น
•    แยกบทบาทของ “ผู้ถือหุ้น” และ “ผู้บริหาร” อย่างชัดเจน
•    มีระบบสวัสดิการที่สร้างแรงจูงใจ เช่น ค่าครองชีพ สิทธิ์ซื้อรถ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน
•    กำไรแบ่งระหว่างพนักงานและผู้บริหารอย่างเป็นธรรม
•    ส่งเสริมให้ลูกหลานเสนอธุรกิจใหม่ (Spin-off) โดยบริษัทลงทุนให้ และให้ถือหุ้นภายหลังเมื่อคืนทุนครบ


สืบทอดหลักคิดจากรุ่น 1

1.    ความสามัคคีคือหัวใจของความสำเร็จ โดยเปรียบองค์กรเหมือน “ทีมฟุตบอล” ที่แต่ละคนมีบทบาทต่างกัน มีกองหน้า กองหลัง กองกลาง ฯลฯ ทุกฝ่ายในองค์กรต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต บัญชี การเงิน ฯลฯ ไม่มีฝ่ายไหน "สำคัญกว่า" แต่ทุกฝ่าย "จำเป็น" ต่อความสำเร็จรวม

2.    ยอมรับความแตกต่าง และอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ ลูกหลานแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเก่งหรือขยันเท่ากัน เพราะธรรมชาติของคนต่างกัน สิ่งสำคัญคือการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และทำให้ทุกคนมีบทบาทที่มีคุณค่า ตอกย้ำแนวคิด "ต่างกันได้ แต่ต้องไม่แตกแยก"

3.    มุ่งมั่นสู่ความเป็นที่หนึ่ง ต้องมีเป้าหมายในการ “แข่งขันให้ชนะ” เหมือนในการแข่งกีฬา แต่การ "รักษาแชมป์" ยากกว่าการได้แชมป์ ดังนั้น ต้องปรับตัวอยู่เสมอ สอนให้คิดว่า “ความสำเร็จวันนี้ไม่พอ” ต้องรักษาความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง

4.    ความเสียสละ ความสำเร็จขององค์กรจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัย “การเสียสละ” ของแต่ละคน ทั้งเวลา แรงกาย ความอดทน และการยอมลดอัตตา เพื่อเป้าหมายร่วมกันของครอบครัวและธุรกิจ

    นี่คือส่วนหนึ่งจากแนวคิดของทายาท “ขอนแก่นแหอวน” ธุรกิจที่เริ่มจากร้านขายของชำเล็ก ๆ สู่ธุรกิจระดับโลก ซึ่งแน่นอนว่าต้องผ่านบททดสอบมากมายกว่าจะมาถึงในวันนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่บอกเราได้อย่างหนึ่งว่า ธุรกิจครอบครัวเล็ก ๆ ในวันนี้ สามารถเติบโตได้อย่างยิ่งใหญ่ ถ้ารู้จักวิธีบริหารจัดการ
 

ข่าวอื่นๆ