.jpg)
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของผู้หญิงในธุรกิจครอบครัวโมร็อกโกถูกตีกรอบไว้ในฐานะ “ผู้คอยประคอง” เบื้องหลังผู้นำชาย ทั้งคุณย่า คุณป้า คุณแม่ จนถึงลูกสาว โดยงานวิจัยเก่า มักมองผู้หญิงเพียงเป็น “ที่พึ่งทางใจ” ให้กับผู้นำชายที่ขับเคลื่อนธุรกิจ
งานวิจัย “Femmes au cœur des entreprises familiales” โดย La Croisée des Chemins ได้พลิกโฉมมุมมองเดิม ด้วยการสำรวจผู้ประกอบการถึง 100 ราย และเจาะลึกบทบาทผ่านประสบการณ์ตรงของผู้นำหญิง 30 คน โดยผลการศึกษาไม่เพียงเติมเต็มช่องว่างทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ “ผู้หญิงโมร็อกโกกำลังก้าวจากการเป็นเพียง ‘ผู้คอยประคอง’ สู่ ‘ผู้กำกับบท’ ธุรกิจครอบครัวอย่างภาคภูมิ”
ในโมร็อกโก ธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนสูงถึง 90% ของเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานเพียง 21% เท่านั้น แต่จากงานวิจัยของ ESCA École de Management ที่เมืองคาซาบลังกาเผยให้เห็นว่า ผู้หญิงรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาสูง กำลังเริ่มก้าวขึ้นสู่บทบาทผู้นำในธุรกิจครอบครัว ซึ่งทลายกรอบความเชื่อเดิมของสังคมที่เคยกีดกันบทบาทสตรี
แม้ผลสำรวจจากผู้ประกอบการ 100 คนชี้ว่า ผู้หญิงยังต้องพิสูจน์ความชอบธรรมในองค์กรอยู่เสมอ แต่ความสามารถของพวกเธอก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของการพัฒนาธุรกิจ การบริหารความขัดแย้ง และการช่วยให้การสืบทอดรุ่นต่อไปเป็นไปอย่างราบรื่น ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า โมร็อกโกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่เปิดรับพลังของสตรีมากขึ้น พร้อมส่งข้อความสำคัญถึงโลกว่า “การปลดล็อกศักยภาพของผู้หญิง คือ หัวใจของการสร้างธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืนและทันสมัย”
การวิจัยเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความสำเร็จของผู้นำหญิงในธุรกิจครอบครัวมีทั้งหมด 6 ประการ ซึ่งช่วยให้สามารถก้าวข้ามอุปสรรคและพิสูจน์ความสามารถในสังคมที่ยังมีอคติทางเพศ ดังนี้
1. มีต้นแบบและที่ปรึกษาภายในครอบครัว ผู้หญิงรุ่นก่อนในครอบครัว แม้บางครั้งอาจไม่ได้ทำงานในธุรกิจโดยตรง แต่พวกเธอรู้จักกฎเกณฑ์ ประวัติ และค่านิยมของบริษัทเป็นอย่างดี ทำหน้าที่เป็นต้นแบบและที่ปรึกษาให้กับลูกสาวและสมาชิกหญิงรุ่นต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะการสอนเรื่องการบริหารอารมณ์ความรู้สึกและวิธีเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ
2. ได้รับแรงสนับสนุนจากผู้ชายในครอบครัว เช่น พ่อ พี่ชาย ลุง หรือญาติผู้ชาย มักเปิดโอกาสและให้การสนับสนุนแก่ผู้หญิงตั้งแต่ในช่วงการศึกษา ไปจนถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อผู้ก่อตั้งบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและแนะนำลูกสาว
3. มีส่วนร่วมในธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย การเติบโตในบรรยากาศของธุรกิจครอบครัวช่วยให้ผู้นำหญิงเข้าใจอุตสาหกรรมและวัฒนธรรมองค์กรอย่างลึกซึ้ง ค่านิยมและความรู้พื้นฐานที่ได้รับในวัยเยาว์จึงกลายเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาสู่ตำแหน่งผู้นำ
4. ทำงานด้วยหัวใจและพันธกิจ สำหรับผู้หญิงเหล่านี้การทำงานในธุรกิจครอบครัวไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ แต่เป็นพันธกิจที่มีความหมาย พวกเธอมีความผูกพันทางอารมณ์ความรู้สึก และตระหนักถึงความสำคัญของการสืบทอดธุรกิจ และรักษามรดกของครอบครัวไว้
5. บริหารอารมณ์และความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างมืออาชีพ แม้ว่าผู้หญิงในโมร็อกโก 95% ยังคงรับผิดชอบงานบ้านเป็นหลัก แต่ผู้นำหญิงในธุรกิจครอบครัวได้แสดงศักยภาพในการบริหารสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวอย่างยอดเยี่ยม ทำหน้าที่เสมือน “Chief Emotional Officer” ที่คอยจัดการความขัดแย้งและสร้างความกลมเกลียวในทั้งองค์กรและครอบครัว
6. ใช้บรรยากาศในธุรกิจครอบครัวเป็นข้อได้เปรียบ แม้ว่าผู้หญิงจะต้องพิสูจน์ความสามารถมากกว่าผู้ชาย และเผชิญกับอุปสรรคทางสังคม ธุรกิจครอบครัวกลับเป็นพื้นที่ที่เอื้อให้ผู้หญิงเติบโต ด้วยความไว้วางใจ การสนับสนุน และระบบพี่เลี้ยงที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้ค่านิยมของผู้หญิงและธุรกิจครอบครัวเริ่มสอดคล้องกันมากขึ้น
ต้องยอมรับว่า ความเชื่อเรื่องชายเป็นใหญ่ในสังคมไทยยังมีอยู่ และธุรกิจครอบครัวก็มักจะมอบอำนาจให้ลูกชายโดยธรรมชาติ ส่วนลูกสาวมักถูกวางบทบาทให้เป็นผู้สนับสนุน แต่ระยะหลังเราได้เห็นหลาย ๆ ธุรกิจให้ผู้หญิงขึ้นมาเป็นผู้นำมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจครอบครัวไทยจำนวนมากยังขาดธรรมนูญครอบครัว และกลไกจัดการความขัดแย้งอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจไม่ชัดเจน แต่หากรุ่นผู้ก่อตั้งธุรกิจครอบครัววางระบบเอาไว้ โดยปลูกฝังให้ทุกคนไม่ว่าจะหญิงหรือชาย มีโอกาสและความรับผิดชอบเท่าเทียมกัน ก็จะช่วยละลายกรอบความเชื่อเดิม และเปิดทางให้ลูกสาวได้รับตำแหน่งมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หากมีประสบการณ์จากภายนอกก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ก็จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือทั้งในสายตาพนักงานและคนในครอบครัวด้วย
การมีผู้นำธุรกิจครอบครัวหญิง มีข้อดีหลายประการจากทักษะเฉพาะตัวของผู้หญิง เช่น ความสามารถในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก และการสมดุลผลประโยชน์ได้ละเอียดอ่อนกว่า และยังสามารถปรับตัวเข้ากับบุคลิกและความต้องการที่หลากหลายของสมาชิกครอบครัวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องความสามารถในการสื่อสาร จะช่วยลดช่องว่างความเข้าใจ และช่วยให้ทีมครอบครัวทำงานได้ราบรื่นขึ้น นอกจากนี้ การวิจัยยังพบว่าในสถานการณ์วิกฤต เช่น เศรษฐกิจถดถอย ผู้นำหญิงจะนำพาองค์กรผ่านสถานการณ์เหล่านั้นได้ดีขึ้น เพราะมีความอดทนและมองหลายมิติ
โดยสรุปแล้ว การสืบทอดธุรกิจครอบครัวโดยมีผู้หญิงขึ้นมาเป็นผู้นำนั้น จำเป็นต้องมีการปลูกฝังค่านิยมความเสมอภาคภายในครอบครัว มีนโยบายครอบครัวที่เปิดกว้าง ส่วนการวางแผนส่งต่ออำนาจ ก็จะต้องกำหนดกระบวนการรับช่วงต่อ มีธรรมนูญครอบครัวที่ชัดเจน จะช่วยให้ผู้หญิงในธุรกิจครอบครัวก้าวขึ้นเป็นผู้นำได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
อ้างอิงจาก https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=458