.jpg)
การท่องเที่ยวในปี 2568 ยังไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 แม้จะกลับมาเติบโตได้บ้าง แต่ยังมีหลายปัจจัยที่เป็นความท้าทาย เช่น จำนวนผู้เดินทางที่ยังไม่กลับมาเต็มที่ ต้นทุนค่าครองชีพที่สูง ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในธุรกิจท่องเที่ยว และการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนในด้านเศรษฐกิจโลก ราคาวัตถุดิบและพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง ที่ส่งผลต่อการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้แม้ไทยจะเป็นจุดหมายที่คุ้นเคยและเป็นที่นิยม แต่ก็ยังต้องมีมาตรการพิเศษมากขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ดังนั้น ในภาพรวมแล้ว สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยปี 2568 ถือว่ายังมีโอกาส แต่ก็ต้องเร่งมือทำ เพื่อให้กลับมาแข็งแกร่งได้ดังเดิม
คณะกรรมการการท่องเที่ยวคุณภาพสูง หอการค้าไทย ได้จัดทำประเด็นข้อเสนอเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว เมื่อคราวนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเยือนหอการค้าไทย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 โดยแบ่งเป็นแนวทางในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ดังนี้
1. ฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทย ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจึงมีผลโดยตรงต่อการเดินทางเข้าประเทศ แต่ปัจจุบันประเทศไทยเผชิญทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง ภัยธรรมชาติ ความกังวลด้านสุขภาพ และการถูกคุกคามจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ ทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วนเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทาง ดังนั้น การฟื้นฟูความเชื่อมั่นผ่านมาตรการด้านความปลอดภัย การสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจน และภาพลักษณ์ที่มั่นคง จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมนี้ เช่น การจัดตั้งศูนย์แถลงข่าวการปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวและการหลอกลวงออนไลน์ สื่อสารเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเรื่องความปลอดภัย
นอกจากนั้น หอการค้าไทยยังสนับสนุนเกณฑ์ประเมินความปลอดภัย ภายใต้โครงการ "Trusted Thailand" ที่จัดทำโดย ททท. ซึ่งมี 4 มิติหลัก ได้แก่ มาตรการความปลอดภัยทั่วไป ความปลอดภัยด้านการชำระเงิน การสื่อสารภาษาต่างประเทศ และความปลอดภัยด้านการเดินทางและการเข้าถึง โดยผู้ประกอบการที่ผ่านการประเมินจะได้รับตราสัญลักษณ์ "Trusted Thailand" เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว
2. ออกมาตรการทางภาษีด้านการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นกลไกที่จะกระจายรายได้เร็วและทั่วถึงที่สุด ดังนั้น การกำหนดมาตรการทางภาษีด้านการท่องเที่ยวจึงมีความจำเป็น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน สนับสนุนผู้ประกอบการ สร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางภายในประเทศมากขึ้น และทำให้รัฐสามารถนำรายได้ที่จัดเก็บไปพัฒนาสาธารณูปโภคและบริการที่เกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวและความยั่งยืนของเศรษฐกิจโดยรวม
• สนับสนุนมาตรการภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา เมืองน่าเที่ยว 55 จังหวัด สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2568 - 31 ธ.ค. 2569 โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าใช้จ่ายที่จ่ายจริงในการท่องเที่ยว เช่น ค่าบริการนำเที่ยว ค่าที่พักในโรงแรม โฮมสเตย์ หรือที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมในจังหวัดเมืองน่าเที่ยว โดยจะต้องมีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt)
• สนับสนุนมาตรการทางภาษีสำหรับนิติบุคคล ลดหย่อนภาษีได้ในอัตรา 3 เท่า ของค่าใช้จ่ายจริง ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2568 - 31 ธ.ค. 2569 เพื่อส่งเสริมการจัดอบรม สัมมนา และกิจกรรมภายในประเทศ โดยให้นิติบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าห้องสัมมนา ค่าที่พัก ค่าเดินทาง หรือค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวต้องจัดนอกจังหวัดของสถานที่ตั้งของบริษัท พร้อมทั้งต้องมีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) กำกับทุกรายการ
3. กระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วง Low Season ในช่วง Low Season มักประสบปัญหานักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและแรงงานด้านท่องเที่ยว ทำให้รายได้ไม่สม่ำเสมอตลอดทั้งปี ทั้งที่ในช่วงนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัว หากได้รับการส่งเสริมอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยกระตุ้นการเดินทางและกระจายรายได้อย่างยั่งยืน จึงเสนอให้มีโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม–30 กันยายน 2569 โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวร้อยละ 40 สำหรับเมืองหลัก และร้อยละ 50 สำหรับเมืองน่าเที่ยว นอกจากนั้น ยังเสนอให้กระทรวงการต่างประเทศ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ช่วยผลักดันประเทศในตะวันออกกลาง ให้มาท่องเที่ยวช่วงฤดูฝนถึงปลายปี
4. สนับสนุน TAGTHAi เป็นแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวของไทย ผลักดันให้เป็น“โครงสร้างพื้นฐานกลาง (National Digital Public Utility)” เพื่อใช้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย โดยเป็นที่รวมข้อมูลการท่องเที่ยวจากหน่วยงานราชการและเอกชน รวมทั้งระดับจังหวัด ไม่ต้องไปทำ app อื่นให้มีความซ้ำซ้อน โดยปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดแล้วกว่า 3.2 ล้านครั้ง และมีผู้ลงทะเบียนใช้งานจริงกว่า 338,000 คน นอกจากนี้ เว็บไซต์ยังมียอดผู้ใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ผู้ประกอบการไทยกว่า 9.42 ล้านบาท
• สนับสนุนด้านภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาและภาคเอกชน ในการซื้อสินค้าหรือการให้เงินสนับสนุนกับวิสาหกิจเพื่อสังคม Thai Digital Platform โดยให้ลดหย่อนภาษี 2 เท่า เช่นเดียวกับการบริจาคมูลนิธิการกุศลอื่น ซึ่งเงินทั้งหมดนำไปพัฒนาสังคม
• ให้หน่วยงานรัฐใช้ TAGTHAi เป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายตั๋ว และเป็นช่องทางการจองบริการท่องเที่ยว เช่น อุทยาน รฟม. ขนส่งต่าง ๆ งาน event การเข้าสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม วัด พิพิธภัณฑ์
• ขอหน่วยงานรัฐช่วยในการประชาสัมพันธ์ TAGTHAi ให้กับนักท่องเที่ยว เช่น กระทรวงต่างประเทศ, AOT, กระทรวงพาณิชย์
• ส่งเสริมการบริหารจัดการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างมาตรฐานข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ เช่น ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว ข้อมูลงานเทศกาล และข้อมูลด้านวัฒนธรรม เป็นต้น
1. ปรับหลักเกณฑ์อัตราการเบิกค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการจัดประชุม เนื่องจากอัตราการเบิกจ่ายยังไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงแรมต้องประสบปัญหาในการแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น จึงเสนอให้ปรับหลักเกณฑ์ ดังนี้
• ระเบียบเบิกอัตราค่าอาหารในการฝึกอบรม ในประเทศ (การฝึกอบรมข้าราชการ ประเภท ก,ข และฝึกอบรมบุคคลภายนอก ขอปรับเพิ่มขึ้น 40% ของอัตราเดิม
• ระเบียบเบิกอัตราค่าเช่าที่พักในการฝึกอบรม ในประเทศ ขอปรับเพิ่ม 40% ในทุกระดับการฝึกอบรม
• เร่งรัดให้ภาครัฐจัดกิจกรรมอบรมและการประชุมสัมมนา
• สนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐ ใช้งบประมาณในการจัดงานประชุม สัมมนา และกิจกรรมต่าง ๆ ณ สถานประกอบการที่พักหรือโรงแรมซึ่งได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
2. Soft loan สำหรับการพัฒนาคุณภาพสินค้า กระแสการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ผู้บริโภคและตลาดโลกให้ความสำคัญ เช่น การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ดังนั้น การให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยสามารถปรับตัว ลงทุนในเทคโนโลยีในการบริการให้ดีขึ้น จึงเสนอให้มีการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ฟื้นฟูสภาพคล่อง SMEs และสตาร์ทอัพท่องเที่ยว ช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวและขยายกิจการได้อย่างมั่นคง
3. ยกระดับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยงานระดับโลก ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลก ทั้งในด้านสถานที่ การคมนาคม วัฒนธรรม และการบริการ การดึงงานระดับ World Class Event มาจัดในประเทศจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากต่างประเทศ สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างโอกาสการจ้างงานให้กับประชาชน และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้แก่ภาคการท่องเที่ยว การบริการ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ควรมีการจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ โดยวางแผนและจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว อบรมพนักงานเรื่องการให้การบริการ การอบรมไกด์ พัฒนาทักษะด้านภาษา เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้มาเยือน
1. สนับสนุน Happy Model เป็นกลไกพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูง การพัฒนาการท่องเที่ยวไทยต้องมุ่งเน้นคุณภาพ การกระจายประโยชน์สู่ชุมชน และการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยนำ Happy Model ซึ่งเน้นการกินดี อยู่ดี ออกกำลังกายดี และแบ่งปันสิ่งดี ๆ มาเป็นกลไกสร้างในการพัฒนาการท่องเที่ยวคุณภาพสูงประเทศอย่างยั่งยืน
2. พัฒนาการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวแบบครบวงจร ต้องสร้างความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางระหว่างจังหวัด เมือง และสถานที่ท่องเที่ยว รองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม พร้อมปรับปรุงและพัฒนาระบบขนส่ง ถนน สะพาน ท่าเรือ และท่าอากาศยานขนาดเล็ก
ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยชะลอลง ซึ่งการท่องเที่ยวภายในประเทศนั้น มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสูงถึง 24% ของ Private Consumption (มูลค่าของสินค้าและบริการที่ประชาชนและครัวเรือนใช้จ่ายเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล) คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 เห็นชอบมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยการจัดทำมาตรการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไทยหันกลับมาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง รวมทั้งการจูงใจให้ภาคเอกชนปรับปรุงโรงแรมที่พักและแหล่งท่องเที่ยวผ่านกลไกภาษี โดยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ประกอบด้วย
1. มาตรการภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ให้บุคคลธรรมดา นำค่าที่พักในโรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทย หรือค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม และค่าบริการของร้านอาหารที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ สามารถนำมาหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายจำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง ดังนี้
• ค่าที่พักหรือค่าบริการของร้านอาหารที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ที่อยู่ในรูปแบบกระดาษหรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ไม่เกิน 10,000 บาท
• ค่าที่พักหรือค่าบริการของร้านอาหารที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เท่านั้น เพิ่มจากข้อ 1.1 ได้อีกจำนวนไม่เกิน 10,000 บาท
สำหรับการท่องเที่ยวเมืองรอง ประกอบด้วยจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัดและพื้นที่บางอำเภอในจังหวัด 15 จังหวัด สามารถหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายตามข้อ 1.1 และ/หรือข้อ 1.2 ได้ 1.5 เท่า ของจำนวนที่จ่ายจริง (ลดหย่อนได้สูงสุด 30,000 บาท)
2. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนนิติบุคคลจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จ่ายค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่จัดให้แก่ลูกจ้าง และค่าบริการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์เพื่อการอบรมสัมมนานั้น ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม-15 ธันวาคม 2568 โดยจ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) เว้นแต่ค่าขนส่งจะจ่ายให้แก่ผู้มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้ แต่ต้องได้ใบรับที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) สามารถหักรายจ่ายดังกล่าวได้ดังนี้
1. หักรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรอง
2. หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในท้องที่อื่นนอกจากท้องที่ตามข้อ 1
3. ในกรณีที่การจัดอบรมสัมมนาครั้งหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นในท้องที่ตามข้อ 1 และข้อ 2 ต่อเนื่องกัน ให้หักรายจ่ายที่สามารถแยกได้โดยชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใดตามข้อ 1 หรือข้อ 2 แล้วแต่กรณี และให้หักรายจ่ายที่ไม่สามารถแยกได้โดยชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใดได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง
3. มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม ประชุม สัมมนาประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 (Front Load) ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งรัดการเบิกค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมดังกล่าว ในส่วนของการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของวงเงินฝึกอบรม ประชุม สัมมนา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 โดยให้พิจารณาดำเนินการในเมืองท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองเป็นลำดับแรก นอกจากนี้ ยังกำหนดให้การขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดผลการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ 2569 ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ (เฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินงานตามปีงบประมาณ) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยขอความร่วมมือกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ประสาน อปท. พิจารณาจัดการอบรมสัมมนาในท้องถิ่นอื่น และให้รายงานผลการเบิกจ่ายดังกล่าวต่อคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐต่อไป พร้อมทั้งกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางจะพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าที่พักและค่าอาหารสำหรับการจัดฝึกอบรมในประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
4. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรม สามารถหักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ (โดยไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม) 2 เท่า ของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569 สำหรับทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ ประกอบด้วย
1. อาคารถาวรที่มีไว้ใช้ในการประกอบกิจการโรงแรม
2. เครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นส่วนประกอบและยึดติดกับอาคาร ตามข้อ 1 เป็นการถาวร
โดยให้หักรายจ่ายเท่าแรกเป็นค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินตามปกติ และทยอยหักรายจ่ายเท่าที่ 2 เป็นระยะเวลา 20 รอบระยะเวลาบัญชีในจำนวนที่เท่ากันทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่ได้เริ่มหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน นอกจากนี้ รัฐบาลได้เตรียมแหล่งเงินสำหรับรองรับการปรับปรุงโรงแรมที่พัก โดยธนาคารออมสิน ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
5. มาตรการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ ขยายเวลาปรับลดอัตราภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 5 ออกไปอีก 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2569 สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตได้บูรณาการร่วมมือกับกรมการปกครองให้นำผู้ประกอบการมาจดทะเบียนสถานประกอบการ เพื่อขยายฐานภาษีสรรพสามิตต่อไป
โดยภาพรวมแล้ว มาตรการที่ออกมาสอดคล้องกับสิ่งหอการค้าไทยนำเสนอ จึงเชื่อว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศให้ดียิ่งขึ้น และเกิดการกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่รอง เป็นมาตรการที่ไม่ต้องใช้เงินกู้เพิ่มมาก เพราะเป็นการให้สิทธิลดหย่อนภาษี มากกว่าสิทธิคืนเงินทันที ซึ่งช่วยลดภาระงบประมาณโดยตรง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเองก็ประเมินว่า มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ จะช่วยให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และประชาชน ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจท่องเที่ยวมีรายได้เพิ่มขึ้น จ้างงานเพิ่มขึ้น และรายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการจ้างงานต่อไปในอนาคต และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจ ปี 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.04–0.05 และปี 2569 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.03–0.04 เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีการดำเนินมาตรการ
ออกไปเที่ยวกันเยอะ ๆ ครับ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจบ้านเราให้เงยขึ้นมาได้บ้าง!!