.jpg)
มีเสียงบ่นจากผู้ประกอบธุรกิจ SMEs จำนวนมากที่ไม่สามารถ “กู้” หรือเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้ ทั้งที่บางรายก็มีผลประกอบการเป็นบวกอยู่ หลายรายก็โยนบาปให้กับสถาบันการเงินว่ามีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากเกินไป ในขณะที่บางรายก็หันไปพึ่งแหล่งเงินทุนจากสินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรเครดิตแทน หนักกว่านั้นก็ไปพึ่งพาเงินนอกระบบที่คิดดอกเบี้ยมหาโหด ซึ่งอาจกลายเป็นระเบิดเวลาจนยากต่อการแก้ไข...ปัญหาคาใจของใครหลายคนก็คือ สถาบันการเงินต่าง ๆ เขาใช้หลักเกณฑ์อะไรในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อกันแน่
หลักเบื้องต้นในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจะพิจารณาเรื่อง “ความเสี่ยง” เป็นสำคัญ โดยเฉพาะความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจทำให้กิจการมีปัญหาจนไม่สามารถทำธุรกิจได้ปกติ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงถึงความเสี่ยงในการผ่อนชำระหนี้ตามสัญญา จึงนำมาสู่การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อป้องกันหรือปิดความเสี่ยงเหล่านั้นนั่นเอง ทั้งนี้บริษัทที่สถาบันการเงินไม่ค่อยอยากจะปล่อยสินเชื่อมักเข้าข่ายลักษณะดังนี้ เช่น บริษัทจดใหม่ (โดยปกติจะพิจารณาบริษัทที่จดทะเบียนบริษัทและดำเนินกิจการมาแล้วตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพื่อดูความสม่ำเสมอของผลประกอบการและดูว่าจะมีความสามารถชำระหนี้ได้หรือไม่) บริษัทที่ยังชำระทุนไม่ครบ มีทุนจดทะเบียนไว้มากแต่มีการชำระค่าหุ้นเพียงส่วนน้อย บริษัทที่ประกอบธุรกิจไม่ตรงนโยบายการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินนั้น ๆ บริษัทที่ทำธุรกิจมีความเสี่ยงสูงหรือมีผลกระทบกับสังคม สิ่งแวดล้อม บริษัทที่มีผลขาดทุนติดต่อกันหลายปี บริษัทที่มีส่วนผู้ถือหุ้นในงบฐานะการเงินติดลบ บริษัทที่มีรายการเงินให้กรรมการกู้ยืมมีจำนวนมาก บริษัทที่มีความเสี่ยงภาษีย้อนหลังซึ่งส่วนใหญ่มักจะลงบัญชีบริษัทเพียงบางส่วน และบริษัทที่อาจจัดตั้งขึ้นมาเป็นนอมินีให้กับต่างชาติหรือกิจการขนาดใหญ่

เวลาที่เราไปยื่นขอสินเชื่อ แน่นอนว่าจะต้องมีข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ ประกอบการเสนอขอกู้ แต่ก็มีหลายครั้งที่สถาบันการเงินขอเอกสารหลายรอบ ขอไปขอมา สรุปว่าไม่ผ่านการอนุมัติก็มีเยอะ นอกจากจะเสียเวลาและกระทบกับการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังสร้างความหงุดหงิดให้คนกู้ด้วย ซึ่งคนกู้ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่รู้ว่าที่ไม่ผ่านนั้นเพราะสาเหตุใด ใช้หลักเกณฑ์อะไรมาพิจารณาบ้าง และหากต้องการกู้ให้ผ่าน ต้องปรับแก้ที่จุดไหน ทั้งนี้ หลักเกณฑ์หลัก ๆ ที่สถาบันการเงินจะใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อนั้นก็คือ หลัก 3P+5C ประกอบด้วย
• Purpose วัตถุประสงค์การกู้เงิน จะกู้ไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง หรือกู้ไปเพื่อการลงทุนในกิจการ ซึ่งทั้ง 2 วัตถุประสงค์นี้แตกต่างกันและวงเงินสินเชื่อก็คนละประเภทกัน การคำนวณยอดเงินที่จะขอกู้ก็ไม่เหมือนกัน กรณีเงินทุนหมุนเวียนเป็นสินเชื่อระยะสั้น เงื่อนไขการใช้วงเงินและการชำระหนี้คืนคนละแบบกับกรณีเงินกู้ระยะยาวเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์ของกิจการ ซึ่งเป็นการเบิกใช้ครั้งเดียวหรือเป็นงวดงาน และการชำระคืนเป็นการผ่อนชำระค่างวดรายเดือนทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอตลอดสัญญากู้ สถาบันการเงินจะพิจารณาเข้มงวดทั้งวัตถุประสงค์และยอดเงินกู้ เพื่อป้องกันการใช้วงเงินสินเชื่อผิดวัตถุประสงค์ซึ่งเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้กลายเป็นหนี้ NPLs
.jpg)
• Payment การชำระเงิน โดยจะคำนวณจากความสามารถในการชำระหนี้ในงบกำไร-ขาดทุนของกิจการ ซึ่งก็จะมีสูตรในการคำนวณ หากคำนวณแล้วไม่มีความสามารถในการชำระหนี้หรือความสามารถชำระหนี้ไม่เพียงพอ ทั้งกับหนี้เดิมและหนี้ใหม่ที่กำลังขอสินเชื่อเพิ่ม ก็จะไม่ผ่านการพิจารณา

• Protect พิจารณาปิดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ โดยวิเคราะห์จากข้อมูลสำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่ 1) เครดิตบูโร (ประวัติทางการเงิน อดีต-ปัจจุบัน) 2) Statement (ประวัติการเดินบัญชี เส้นทางการเงินของกิจการ) 3) งบการเงิน (ผลประกอบการและความมั่นคงของกิจการ) และ 4) แผนธุรกิจ (อนาคตธุรกิจ ความสามารถเจ้าของกิจการ)
• Character ประวัติทางการเงิน ประวัติส่วนตัว ประวัติการดำเนินธุรกิจ โดยพิจารณาทั้งตัวบริษัทและกรรมการบริษัท ดูว่ามีพื้นฐานที่มาที่ไป ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ความรับผิดชอบ ผลงาน และมีพฤติกรรมอย่างไร
• Capacity ความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไร ความสามารถที่จะรองรับภาระหนี้ที่มีอยู่และที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตได้หรือไม่
• Capital เงินทุนมีมากน้อยแค่ไหน ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นอย่างไร เพิ่มขึ้นลดลงจากการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมาอย่างไร กรณีจะมีการขอสินเชื่อเพิ่มเพื่อใช้หมุนเวียนหรือเพื่อการลงทุน จะมีเงินทุนส่วนของกิจการร่วมด้วยมากน้อยเพียงใด
• Collateral หลักประกันที่อาจต้องใช้ในการลดความเสี่ยงในการขอสินเชื่อมีหรือไม่ เป็นหลักทรัพย์ประเภทใด มูลค่าเท่าใด เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทหรือของส่วนตัวกรรมการ หรือจะต้องใช้การค้ำประกันจาก บสย.
• Condition เงื่อนไขอื่น ๆ ที่อาจต้องกำหนดขึ้นก่อนการขอสินเชื่อ หรือเงื่อนไขหลังจากได้รับการอนุมัติสินเชื่อแล้ว เช่น ต้องมีการเพิ่มทุน มีการแปลงหนี้กรรมการเป็นทุน มีการกำหนดเงื่อนไขการเบิกจ่ายสินเชื่อเป็นงวด ๆ หรือจะผ่อนชำระคืนแบบเพิ่มลดตามฤดูกาล เป็นต้น
องค์ประกอบต่าง ๆ เหล่านี้ จะถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อประเมินว่าผู้กู้สามารถกู้ได้หรือไม่ วงเงินที่จะอนุมัติควรเป็นเท่าไหร่ที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด (แม้ว่าสถาบันการเงินบางแห่งจะผ่อนปรนหลักเกณฑ์บางอย่างแล้วก็ตาม) แต่ในทางกลับกัน ถ้าสถาบันการเงินไม่พิจารณาเรื่องดังกล่าวให้ดี ก็จะกลายมาเป็นปัญหาในอนาคตสำหรับผู้กู้เช่นกัน
หนึ่งในข้อมูลสำคัญที่สถาบันการเงินใช้วิเคราะห์เพื่อพิจารณาปล่อยสินเชื่อ ก็คือ ประวัติการเงินของผู้ขอกู้ ซึ่งแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการเงินทั้งในนามบริษัท และกรรมการ ก็คือ “เครดิตบูโร” ซึ่งเวลาที่สถาบันการเงินตรวจสอบสถานะ ก็จะตรวจทั้ง ผู้ขอกู้ และผู้เกี่ยวข้อง โดยจะดู 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ภาระหนี้สินที่มีอยู่ วินัยทางการเงิน ความสามารถในการก่อหนี้ และพฤติกรรมการเป็นหนี้ เพื่อประเมินว่ามีสถานะเป็นปกติ ไม่ปกติ น่าสงสัย หรืออาจมีปัญหา
• ภาระหนี้สินรวม ภาระหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบันทุกประเภทรวมกันทั้งหมด เทียบกับรายได้รวมของผู้กู้ เป็นอย่างไร
• วินัยทางการเงิน ประวัติการผ่อนชำระหนี้เดิมและหนี้ปัจจุบันทุกชนิด ตรงตามเงื่อนไขของหนี้นั้น ๆ หรือไม่
• ความสามารถก่อหนี้เพิ่ม ดูว่ายังสามารถก่อหนี้ที่ต้องการเพิ่มได้อีกหรือไม่
• พฤติกรรมการเป็นหนี้ โดยจะดูพฤติกรรมการก่อหนี้ การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ ความรับผิดชอบต่อหนี้แต่ละชนิดว่าเป็นอย่างไร
เลขสถานะบัญชีเครดิตบูโรหลัก ๆ ที่ต้องรู้
นอกจากการตรวจสอบสถานะแล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่า "คะแนนเครดิต" ซึ่งเป็นตัวเลขชี้วัดความน่าจะเป็นจากการประเมินข้อมูลทางสถิติของลูกค้า ว่ามีโอกาสที่่จะไม่ผิดนัดชำระหนี้ที่ก่อไว้ ซึ่งคำนวณจากประวัติการก่อหนี้ และพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีตของคน ๆ นั้น บางครั้งสถานะบูโรเป็นปกติ แต่พอดูประวัติการชำระเงินย้อนหลังแล้ว อาจพบว่ามีการผิดนัดชำระหนี้หลายครั้ง มีพฤติกรรมการก่อหนี้ ความรับผิดชอบการชำระหนี้ และอื่น ๆ ที่ไม่เป็นปกติ จึงต้องมีการคำนวณคะแนนเครดิตประกอบการพิจารณาด้วย โดยปัจจัยที่ใช้ประเมินคะแนนเครดิต ประกอบด้วย
• ยอดหนี้คงเหลือ/ ยอดวงเงินที่ใช้ เทียบกับวงเงินสินเชื่อ
• ยอดหนี้คงเหลือ/ ยอดวงเงินที่ใช้ รวมแต่ละประเภทสินเชื่อ
• จำนวนบัญชีสินเชื่อที่เพิ่งเปิด
• จำนวนเงินคงค้างล่าสุด
• ความยาวของประวัติสินเชื่อ
• จำนวนบัญชีที่มีประวัติชำระหนี้ที่ดี
• ความยาวของบัญชีสินเชื่อที่มี
• ความถี่ในการสมัครสินเชื่อใหม่
ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า การจะผ่านด่านแรก ผู้กู้ รวมถึงผู้เกี่ยวข้อง ต้องมีสถานะบูโรเป็นปกติ และมีคะแนนเครดิตที่ดี แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่า แล้วพฤติกรรมแบบไหนจึงทำให้รายงานข้อมูลเครดิตออกมาไม่ได้ และมีโอกาสถูกปฏิเสธสินเชื่อได้
• ค้างชำระหนี้เป็นครั้งคราว
• เคยปรับโครงสร้างหนี้หลายครั้ง
• ภาระหนี้รวมมากเกินตัว (ทั้งตัวบริษัทและกรรมการ)
• หนี้บางส่วนปกติ หนี้บางส่วนมีปัญหา
• ค้างชำระหนี้นาน และเพิ่งปิดบัญชีไม่นาน
• ผ่อนขั้นต่ำ/ รีไฟแนนซ์หนี้บ่อยครั้ง
• ถูกดำเนินคดี
| แนวทางทั่วไป | กรณีบุคคล |
กรณีนิติบุคคล |
| • ตัด..ภาระหนี้บางอย่าง • รอ..ผลชำระเป็นปกติ • ปรับ..โครงสร้างหนี้ • งด..ก่อหนี้เพิ่ม • เลี่ยง..รีไฟแนนซ์ • ไม่..ผ่อน 0% • ปิด..หนี้ผ่อนขั้นต่ำ • อย่า..สะดุดค่างวด |
• แก้ไขได้ (สถานะหนี้ไม่รุนแรง) - เคลียร์หนี้บางรายการทิ้ง - ปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา - ผ่อนหนี้เก่าให้ตรงงวดก่อน - ผ่อนหนี้เดิมสูงกว่าเงื่อนไข • แก้ไขไม่ได้ (สถานะหนี้รุนแรง) - เปลี่ยนคนกู้ที่มีประวัติปกติ |
• บริษัทไม่ติด-กรรมการติด • บริษัทติด-กรรมการไม่ติด |
การจัดการกับเครดิตบูโรให้ดี เป็นสิ่งแรกที่ผู้กู้ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อลดการปฏิเสธจากสถาบันการเงิน นอกจากนั้น การยื่นกู้บนความไม่พร้อมบ่อย ๆ จะยิ่งกลายเป็นประวัติเสียอีกด้วย ฉะนั้นแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะดีที่สุด ซึ่งสรุปเป็นแนวทางไว้ 5 ข้อ ดังนี้
1. ตรวจตัวเอง ก่อนยื่นกู้
2. ตรวจผู้เกี่ยวข้องครบทุกคน
3. แก้ไขบุคคลที่เป็นจุดอ่อน
4. แก้ไขประวัติการเงินที่เป็นจุดอ่อน
5. เว้นระยะเวลาให้เหมาะสม
เครดิตบูโร เป็นสิ่งแรกที่ต้องจัดการให้ดี เพื่อเตรียมพร้อมในการยื่นกู้ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเรื่อง Statement งบการเงิน และแผนธุรกิจ ที่ต้องเตรียมตัวเช่นกัน...ครั้งต่อไป จะมาลงรายละเอียดให้ฟังกันครับ
หากต้องการขอรับคำปรึกษาปัญหาทางการเงิน สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-16.30น. ณ ชั้น 1 อาคาร SME D BANK TOWER ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย
อ้างอิงเนื้อหาการบรรยายเรื่อง “ก่อนจะกู้..ต้องรู้เรื่องนี้”
โดย คุณสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์
ผู้อำนวยการศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center)
ในการอบรมหลักสูตร Business Accelerator จัดโดยคณะเพิ่มความเข้มแข็งให้สมาชิก หอการค้าไทย