.jpg)
เรื่องความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ มีการพูดถึงกันมานานพอสมควร แต่ส่วนใหญ่มักจะเห็นแต่องค์กรขนาดใหญ่ที่มีการตื่นตัวในเรื่องดังกล่าว ในขณะที่องค์กรเล็ก ๆ หลายแห่งยังมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว และมีค่าใช้จ่ายสูง จึงยังไม่เห็นความสำคัญกันมากนัก แต่แท้ที่จริงแล้ว “ยิ่งปรับตัวได้เร็ว ก็ยิ่งมีโอกาสอยู่รอดสูงกว่า”
ในงานสัมมนา “Unveiling the ESG Toolkit For SMEs” เป็นอีกงานหนึ่งที่พูดถึงเรื่องความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งภายในงานมีความน่าสนใจหลายอย่าง ทั้งองค์ความรู้จากวิทยากร รวมไปถึง Showcase ต่าง ๆ ที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน โดยสิ่งหนึ่งที่ได้จากงานนี้ คือ “คู่มือปฎิบัติ ESG สำหรับ SMEs ไทย” ซึ่งเกิดจากความทุ่มเทของคณะทำงาน ที่ได้ศึกษาแนวทางจากทั่วโลก ถ่ายทอดออกมาเป็นแนวปฎิบัติให้ SMEs ไทยได้ใช้กัน จึงขอสรุปเนื้อหาโดยย่อที่น่าสนใจ ดังนี้
ESG ย่อมาจาก Environmental, Social, และ Governance หรือ สิ่่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดููแล ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดสำคัญที่ช่วยประเมินว่าองค์กรจัดการความรับผิดชอบต่อโลก ผู้คน และการบริหารงานขององค์กรอย่างมีจริยธรรมได้ดีเพียงใด ในยุุคที่่ความยั่่งยืนคือหัวใจของการแข่งขัน ESG จึงไม่ใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่คือ “มาตรฐานใหม่ของธุุรกิจ” เพื่อให้ธุุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
%20(2).jpg)
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง European Green Deal ซึ่งเป็นยุุทธศาสตร์สำคัญของสหภาพยุุโรป (EU) ที่จะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 ทำให้องค์กรขนาดใหญ่เริ่มขยับในเรื่องดังกล่าว ในขณะที่บริษัทขนาดเล็กยังดำเนินการไม่มากนัก แต่ในระยะต่อไป บริษัทขนาดเล็กที่อยู่ใน Supply Chain ของบริษัทใหญ่ ก็หนีไม่พ้นที่ต้องทำเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่ง European Green Deal ก็ไม่ใช่นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่จะรวมในด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมในทุกมิติ ตั้งแต่การดูแลแรงงาน การลดความเหลื่อมล้ำ ไปจนถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตในระดับท้องถิ่นและระดับโลก
กฎระเบียบใหม่ที่กำลังมาถึง เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) จะเรียกเก็บภาษีคาร์บอนจากสินค้านำเข้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ทำให้ SMEs ที่ไม่ปรับตัว เสี่ยงต่อการถูกกีดกันในตลาด EU นอกจากนั้น ผู้บริโภคใน EU ยังให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่ยั่งยืน เช่น ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ หรือสินค้าแฟชั่นจากวัสดุรีไซเคิล ดังนั้น SMEs ไทยสามารถใช้โอกาสนี้สร้างความโดดเด่นในตลาดได้ ซึ่งโดยสรุปแล้ว เหตุผลที่ SMEs ไทย ควรปรับตัวตาม ESG มีดังนี้
1. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
• การมีนโยบาย ESG ทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยเฉพาะในตลาดยุุโรปและสหรัฐฯ ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนนุรกิจอย่างยั่งยืน
• ช่วยสร้างความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเฉพาะเมื่อคู่ค้ารายใหญ่ต้องการพันธมิตรที่มีมาตรฐาน ESG
2. ดึงดูดการลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ
• นักลงทุนและธนาคารเริ่มให้ความสำคัญกับ ESG โดยพิจารณาจากความยั่งยืนก่อนตัดสินใจลงทุน
• ธุรกิจที่มีการปฏิบัติตาม ESG มีโอกาสเข้าถึงเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่ดี และได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตร
3. ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและการกำกับดูแล
• การปฏิบัติตาม ESGช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล ซึ่งอาจนำไปสู่ค่าปรับมหาศาลหรือชื่อเสียงเสียหาย
4. เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน
• การปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น ลดการใช้พลังงาน หรือจัดการของเสียอย่างเหมาะสม ช่วยลดต้นทุนในระยะยาว
• การบริหารทรัพยากรอย่างยั่งยืนช่วยเพิ่มความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ
5. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความไว้วางใจ
• ธุรกิจที่ปฏิบัติตาม ESG สามารถสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ชุมชน และพนักงาน
• เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแบรนด์ให้โดดเด่นในตลาด
1. สูญเสียโอกาสทางธุรกิจ
• ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG จะหันไปหาคู่แข่งที่ปฏิบัติตามมาตรฐานนี้
• ไม่สามารถเข้าถึงตลาดที่มีกฎระเบียบเข้มงวด เช่น สหภาพยุโรป
2. เผชิญกับต้นทุนและความเสี่ยงที่สูงขึ้น
• การบริหารทรัพยากรที่ไม่ดีอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และธุรกิจอาจถูกลงโทษทางกฎหมายจากการลพเมิดกฎระเบียบ
• เสี่ยงต่อการเกิดวิกฤตชื่อเสียงหากเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม หรือการปฏิบัติต่อพนักงาน
3. เสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและนักลงทุน
• ธุรกิจที่ไม่โปร่งใสหรือไม่มีมาตรฐาน อาจสูญเสียความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสีย
4. ความอยู่รอดในระยะยาวอาจถูกคุกคาม
• ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน หาก SMEs ไม่ปรับตัว ธุรกิจอาจล้าหลังและสูญเสียโอกาสในระยะยาว
1. ESG เป็นมากกว่ากรอบแนวคิด ESG คือ กลยุุทธ์ในการเติบโตที่่ช่วยให้องค์กรมีความพร้อมในทุุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม สังคม หรือการกำกับดููแล
2. ESG เปลี่่ยนความท้าทายเป็นโอกาส ในยุุคที่โลกธุุรกิจเน้นความยั่่งยืน การปรับตัวตาม ESG คือการสร้างความแตกต่างที่่คู่แข่งตามไม่ทัน
3. ESG สร้างคุุณค่าในระยะยาว องค์กรที่่ยึดหลัก ESG ไม่เพียงแค่ “อยู่รอด” แต่ยัง “เติบโต” ในโลกที่่ทุุกการตัดสินใจส่งผลกระทบต่อภาพรวมของสังคมและโลก
4. ESG คือมาตรฐานแห่งอนาคต ในอนาคตที่การดำเนินธุรกิจต้องใส่ใจมากกว่าผลกำไร ESG คือกุุญแจที่่เปิดประตููสู่เศรษฐกิจสีเขียว และการเติบโตที่่ยั่่งยืน
บางคนอาจมองว่า การทำเรื่อง ESG เป็นเรื่องยุ่งยาก หรือไม่เข้าใจว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร...จริง ๆ แล้วไม่ยาก ก็เริ่มต้นจากสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เพราะหลายเรื่องก็มีการทำกันอยู่แล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ ปรับ โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลด “คู่มือปฎิบัติ ESG สำหรับ SMEs ไทย” เพื่อเป็นแนวทางได้
"หากไม่เริ่มทำในตอนนี้ ก็จะไม่มีความสามารถในการแข่งขันในอนาคต"