หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) กับหลายประเทศทั่วโลก เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า โดยเก็บภาษี 2 ส่วน คือ การเก็บภาษีขั้นต่ำ (Baseline) 10% ซึ่งจะเรียกเก็บกับสินค้าจากทุกจากประเทศที่สหรัฐนำเข้าสินค้า และ การเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Additional) 10-49% กับประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูง ได้เขย่าเศรษฐกิจโลกให้ผันผวนอีกครั้ง โดยหลายประเทศต้องเร่งเข้าสู่กระบวนการเจรจาการค้าใหม่กับสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบในระยะยาว ส่วนไทยเราก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย เพราะจะถูกเก็บภาษีนำเข้าถึง 36%
ความตึงเครียดยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก เมื่อจีนตอบโต้กลับด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเช่นกัน ในขณะที่ไทยเองซึ่งมีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของทั้งสองประเทศ และยังเป็นคู่ค้าสำคัญเบอร์ต้น ๆ ของไทย แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯและจีนได้บรรลุข้อตกลงชั่วคราวในการลดภาษีศุลกากรที่เคยกำหนดไว้สูงถึง 145% และ 125% ตามลำดับ โดยสหรัฐฯ ลดภาษีลงเหลือ 30% และจีนลดภาษีลงเหลือ 10% เป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาเพิ่มเติม ซึ่งก็ต้องรอดูว่าไทยเราจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาได้บ้างหรือไม่
สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยในปี 2023 ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 47.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 17.1% ของการส่งออกทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีของสหรัฐฯ จึงส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกหลักของไทย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์ยาง ในขณะที่จีนเองก็หันไปหาตลาดอื่น เนื่องจากภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้สินค้าจีนราคาถูกไหลเข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ
หากจะมองในแง่บวก สถานการณ์นี้อาจจะเปิดโอกาสให้ไทยเข้าไปขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ โดยการแทนที่สินค้าจีนในบางกลุ่ม เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการแข่งขันของไทยยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ซึ่งมีข้อตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศ ดังนั้น ยังถือเป็นงานหนักของภาคธุรกิจไทยที่ต้องดิ้นรนเพื่อหาทางออกอย่างสุดกำลัง
จากการประเมินของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (เมื่อวันที่ 3 เมษายน) พบว่า มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะทำให้มูลค่าการส่งออกรวมของไทยลดลงประมาณ 359,104 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ -1.93% ของ GDP ส่งผลให้การส่งออกของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจลดลง 8,703 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 300,237 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (-2,014 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ -69,492 ล้านบาท) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (-1,378 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ -47,533 ล้านบาท) อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม -1,010 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ -34,843 ล้านบาท) นอกจากนั้น ยังมีผลกระทบทางอ้อมอีกหลายประการ
อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีนำเข้าไทย 36% จะยังไม่มีผลในขณะนี้ จะมีผลเฉพาะการประกาศขึ้นภาษี 10% เมื่อวันที่ 5 เมษายนเท่านั้น โดยประเมินเบื้องต้นว่า มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่ 1-1.5 แสนล้านบาท กระทบต่อการจีดีพีไทย 0.7-0.9% แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะยังไม่สิ้นสุด ต้องรอติดตามในช่วง 90 วันว่าสหรัฐจะดำเนินการอย่างไรอีกหรือไม่ รวมถึงการเดินหน้าเจรจาของไทยจะมีผลคืบหน้าเป็นอย่างไร
ภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บจะกระทบสินค้าส่งออกของไทยหลายกลุ่ม และหากถูกเรียกในอัตรา 36% มูลค่าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ อาจจะหายไปสะสมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ภายใน 10 ปี นอกจากนี้ ยังเพิ่มแรงกดดันต่อกลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกจ้างประมาณ 3.7 ล้านคน และ SMEs เกือบ 5 พันราย ซึ่งต่างมีข้อจำกัดในการปรับตัวต่อภาวะผันผวนที่รุนแรงขึ้น
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.0-2.2% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 2.4-2.9% โดยมีปัจจัยหลักมาจากผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ แต่ถ้าไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ในครึ่งปีหลัง จีดีพีจะโตได้เพียง 0.7%-1.4% เนื่องจากการส่งออกทั้งปีอาจหดตัวได้มากถึง -2% ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีให้สำเร็จ ประกอบกับยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ในภาวะที่ตลาดสินค้ามีการแข่งขันรุนแรงขึ้น นอกจากนั้น ยังต้องติดตามผลการเจรจาของประเทศคู่แข่งของไทย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งหากประเทศเหล่านี้สามารถเจรจาขอยกเว้นหรือลดอัตราภาษีนำเข้าได้ต่ำกว่าไทย ก็อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ได้
ผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงผู้ส่งออกเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อ SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งในภาวะปัจจุบันก็ดำเนินธุรกิจด้วยความยากลำบากอยู่แล้ว เนื่องจากมีความท้าทายมากมาย ซึ่งการส่งเสริมให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน การลดดอกเบี้ย การปล่อยสินเชื่อ การเสริมสภาพคล่อง ยังเป็นสิ่งจำเป็นของภาคธุรกิจ ดังนั้น ข้อเสนอแนะสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนไทยควรมีแนวทางดังนี้
1. การเจรจาการค้า: รัฐบาลไทยควรเร่งเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อขอข้อยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าบางประเภท และลดความเสี่ยงจากการถูกตั้งภาษีตอบโต้
2. การกระจายตลาด: ผู้ส่งออกไทยควรมองหาตลาดใหม่ เช่น อินเดีย หรือประเทศในเอเชียใต้ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และจีน
3. การเพิ่มมูลค่าและนวัตกรรม: การลงทุนในเทคโนโลยีและการวิจัยพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า จะช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
ความท้าทายในโลกธุรกิจปัจจุบัน เต็มไปด้วยอุปสรรคหลายอย่าง ผู้ประกอบการมือใหม่อาจต้องเหนื่อยมากในช่วงเวลาเช่นนี้ การติดตามและปรับตัวจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี...จะฟังใครดี? จะหาตัวช่วยจากไหน? จะปรับตัวอย่างไร? เพื่อต่อสู้กับความท้าทายเหล่านี้
ผู้ประกอบการจำนวนมาก ตัดสินใจเข้ามาเป็น “ครอบครัวหอการค้าฯ” เพราะเป็นการเข้าถึงกลุ่มนักธุรกิจทั่วประเทศ ทั้งในและนอกอุตสาหกรรมเดียวกัน มีโอกาสเข้าร่วมเวที Business Matching, Networking และเยี่ยมชมธุรกิจเพื่อนสมาชิกด้วยกัน เป็นประตูสู่นักธุรกิจพันธมิตรที่คุณอาจไม่เคยเข้าถึง ที่สำคัญ คนหอการค้าฯ คือคนที่ทำธุรกิจจริง ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน เป็นผู้นำทางความคิดเพราะมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจโดยตรง ประกอบกับองค์กร “หอการค้าไทย” เป็นองค์กรที่ไม่แสวงกำไร ไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง จึงเชื่อมั่นได้ว่า ทุกความเห็นของหอการค้าฯ มุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก นี่คือคำตอบแรกที่ว่าจะฟังใครดี
ส่วนเรื่อง “ตัวช่วย” หอการค้าไทยมีการจัดอบรมสัมมนาฟรีเป็นประจำ ครอบคลุมในหลากหลายมิติ ทั้งในด้านสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังเป็น Hot Issue แนวทางในการปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ไปจนถึงแนวทางการบริหารธุรกิจ ด้วยวิทยากรคุณภาพจากองค์กรชั้นนำ หรือผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในภาคธุรกิจ แถมยังมีองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ขององค์กรเป็นประจำ นอกจากนั้น ยังมี SMEs Development Center ที่ให้บริการเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ โดยจัดทำเป็นหลักสูตรระยะสั้น และโครงการบ่มเพาะอีกมากมาย ยังมีเรื่องการช่วยเหลือเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากธนาคารพันธมิตร สิทธิประโยชน์หรือส่วนลดในการดำเนินธุรกิจจากเครือข่าย เป็นต้น (ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่ www.thaichamber.org)
สุดท้ายในเรื่องการปรับตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่บอกยาก เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วมาก จึงไม่มี Solution ไหนที่เป็นสูตรสำเร็จตายตัว ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีการติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกอยู่เป็นประจำ มองหาโอกาสใหม่ ๆ และปรับตัวเข้ากับสิ่งนั้น เพราะไม่มีอะไรที่อยู่คงทนไปตลอด เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นวัฏจักรแบบนี้ เพียงแต่การปรับตัวจะช่วยให้ธุรกิจของเราได้ไปต่อในระยะยาว
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปี 2025 ถือเป็นละครบทใหม่ของการค้าโลกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านความเสี่ยงและโอกาส ดังนั้น การปรับตัวอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพของภาครัฐและภาคเอกชน จึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพ และการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว สำคัญที่สุดคือ พลังของภาคเอกชน ที่ต้องเดินไปสู่เป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ...มาร่วมเดินทางไปพร้อมกันกับ “หอการค้าไทย” แล้วคุณจะเห็นว่าประเทศไทยไปได้ไกลกว่าที่คิด!!
สนใจสมัครเป็นสมาชิก หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อได้ทาง Line OA: @thaichamber
* บทความนี้เป็นมุมมองของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องกับจุดยืนหรือนโยบายของหอการค้าไทย