SMART to Know: จับสัญญาณเตือน ความเสี่ยงหนี้ของ SMEs

          ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจของไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอยู่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่โควิด-19 วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน อัตราเงินเฟ้อสูง สงครามการค้า แม้ว่าบางเหตุการณ์จะผ่านมาหลายปี แต่การฟื้นตัวก็ยังไม่เกิดขึ้นเท่าไรนัก ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจโดยรวม โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ซึ่งพยายามดิ้นรนหาทางรอดทุกวิถีทาง แถมยังไปสร้างหนี้เพิ่ม เพื่อหวังว่าจะช่วยประคองให้ผ่านพ้นวิกฤติไปก่อน จนอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าธุรกิจของตนกำลังตกอยู่ในภาวะ “เสี่ยง”

สัญญาณสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง

1.    รายได้น้อยกว่ารายจ่าย นี่คือสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่า ธุรกิจอาจจะประสบปัญหาทางการเงินในไม่ช้า
2.    ขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือหมุนเงินไม่ทัน
3.    การชำระหนี้เริ่มล่าช้า ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด เป็นสัญญาณสุดท้ายที่ชัดเจนว่า ธุรกิจกำลังประสบปัญหาด้านการเงิน

          การเฝ้าระวังสัญญาณเตือนเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบและประเมินสถานการณ์ของกิจการได้อย่างรวดเร็ว โดยสัญญาณดังกล่าวอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ดังนี้

•    การบริหารจัดการภายใน อาจจะเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้บริหาร การขาดระบบการวางแผนที่ดี ซึ่งจะทำให้ธุรกิจขาดความมั่นคง

•    การพึ่งพาช่องทางการขายที่จำกัด ทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงสูง

•    การใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ การใช้เงินกู้หมุนเวียนมาลงทุนในสินทรัพย์ถาวร หรือการใช้เงินทุนผิดประเภท เป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อย

•    ภาวะเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ย่อมส่งผลต่อธุรกิจได้

•    คู่แข่งขัน การปรับตัวของคู่แข่งในตลาด การลดต้นทุนหรือราคาสินค้า ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวตาม

•    การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการค้า เช่น ลูกหนี้การค้าที่ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้ หรือการเปลี่ยนจากเครดิตเป็นการชำระเงินสด ซึ่งส่งผลต่อสภาพคล่องของกิจการ


ปรับโครงสร้างหนี้ก่อนจะเป็น NPL

          จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ยอดการปรับโครงสร้างหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงต้นปี 2567 สะท้อนถึงความพยายามของลูกหนี้ในการประคับประคองสถานะการเงินเอาไว้ให้ไม่กลายเป็น NPL โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ทั้งนี้ ข้อมูลการขอปรับโครงสร้างหนี้จากลูกหนี้ธุรกิจ (Q1/67) พบว่า กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ธุรกิจ SMEs ขนาดเล็ก ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 500 ล้านบาท ธุรกิจในภาคการค้า โดยเฉพาะค้าส่ง-ค้าปลีก กลุ่มธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และบริการด้านสุขภาพ กลุ่มเหล่านี้ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่จากผลกระทบในช่วงโควิด-19 และกำลังเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งจากราคาสินค้า เงินเฟ้อ และค่าจ้างแรงงาน

          บริษัทที่ขอปรับโครงสร้างหนี้ส่วนใหญ่ มักจะมีลักษณะที่กระแสเงินสดต่ำหรือเป็นลบ จากงบการเงินย้อนหลัง อัตราส่วนกำไรต่อรายได้ (Net Profit Margin) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรม และอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) สูงกว่าค่าเฉลี่ย แสดงถึงภาระหนี้ที่กดดัน ตัวชี้วัดเหล่านี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่าบริษัทมีความเสี่ยงต่อการชำระหนี้ในอนาคต และอาจกลายเป็น NPL ได้หากไม่มีการฟื้นตัวที่ชัดเจน


เตรียมพร้อมเพื่อแก้ไขหนี้

          เมื่อธุรกิจสะดุดและประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง หากธุรกิจมีการใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงินอยู่แล้ว ควรเข้าพบสถาบันการเงินเพื่อแจ้งปัญหาและขอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระหนี้ เช่น การขยายระยะเวลาชำระหนี้ หรือการลดจำนวนเงินงวด เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพคล่องในปัจจุบัน และสิ่งต้องห้ามก็คือ การกู้หนี้นอกระบบ แม้ว่าจะเป็นทางเลือกที่สะดวก แต่จะเป็นการเพิ่มภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจต้องเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องที่หนักกว่าเดิม


          หลังจากเตรียมข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการควรเข้าพบสถาบันการเงินเพื่อนำเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขอย่างชัดเจน โดยการแสดงเจตนาในการแก้ไขหนี้สินจะช่วยให้สถาบันการเงินเห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา ทำให้กระบวนการช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้น เมื่อได้ข้อสรุปกับสถาบันการเงินแล้ว ควรพิจารณาเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ในระยะยาว รวมถึงอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อธุรกิจในอนาคต

          ทั้งนี้ การแก้ไขหนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ลดภาระการผ่อนชำระให้สอดคล้องกับรายได้ที่แท้จริง เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียน และหากธุรกิจสามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ได้ จะทำให้สถานะทางการเงินของธุรกิจกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งอาจเปิดโอกาสในการขอสินเชื่อเพิ่มเติมสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคต

         โดยสรุปแล้ว เมื่อธุรกิจพบปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ประกอบการควรเร่งหาสาเหตุและแก้ไขในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเงิน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ การเข้าไปเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระหนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และเชื่อว่าทุกสถาบันการเงินยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ

 

          สัญญาณจากการขอปรับโครงสร้างหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูง บ่งชี้ถึงความเปราะบางที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กที่มีทุนจำกัด และยังฟื้นตัวยาก ดังนั้น หากผู้ประกอบการ SME ประสบปัญหาด้านการบริหารจัดการหนี้ อย่าลังเลที่จะขอคำปรึกษาจาก SME D BANK โทร. 1357 และยังหาความรู้เพิ่มเติมได้ที่ DX Platform ซึ่งมีบริการมากมาย อาทิ E-Learning มากกว่า 30 หลักสูตร SME D Coach ที่ปรึกษาธุรกิจจากโค้ชมืออาชีพกว่า 30 ท่าน SME D Market ช่องทางขยายตลาดด้วย E-marketplace และจับคู่ธุรกิจ รวมทั้ง Business Health Check ระบบตรวจสุขภาพธุรกิจได้ด้วยตัวเอง


อ้างอิงข้อมูลจาก https://dx.smebank.co.th/content.html?id=135 
 

ข่าวอื่นๆ