วันที่ 20 มิถุนายน 2568 คุณชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ รองประธานกรรมการ และประธานคณะกรรมการเพิ่มมูลค่าพืชเกษตร ได้รับมอบหมายจาก ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เข้าร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการส่งเสริมการผลิตกาแฟคุณภาพ การวิจัย และพัฒนาตลอดห่วงโซ่อุปทานกาแฟอย่างยั่งยืน ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี


บันทึกความเข้าใจร่วมกันฉบับนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง หอการค้าไทย กับ กรมส่งเสริมการเกษตร และหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สมาคม สถาบันการศึกษา องค์กรเกษตรกร และหน่วยงานภาคี รวมทั้งสิ้นกว่า 36 หน่วยงาน เพื่อรวมพลังยกระดับ "กาแฟไทย" ด้วยเป้าหมายสำคัญ


กาแฟ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ปัจจุบันกาแฟไทยกำลังเผชิญหน้ากับทั้งโอกาสมหาศาลและความท้าทายที่ซับซ้อนในการก้าวสู่ความยั่งยืนด้านอาหาร การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจึงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ภาพรวมการตลาดของกาแฟไทย ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานแปรรูปเพิ่มขึ้นจาก 80,691 ตัน ในปี 2562/62 เป็น 93,551 ตัน ในปี 2565/66 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.06 ต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงแนวโน้มการเติบโตโดยเฉพาะกลุ่มกาแฟสดและกาแฟพิเศษ สะท้อนถึงรสนิยมของผู้บริโภคที่ซับซ้อนและต้องการประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น อุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการ แต่ยังเป็นกลไกขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านแนวทางการเพาะปลูกอย่างยั่งยืน รวมถึงกาแฟไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ เช่น การผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศซึ่งนำไปสู่การพึ่งพาการนำเข้าอย่างมาก ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อผลผลิตและคุณภาพ ความผันผวนของราคา ต้นทุนการผลิตที่สูง ปัญหาด้านคุณภาพที่ไม่สม่ำเสมอ และการขาดแคลนแรงงาน จึงเป็นโจทย์สำคัญในการส่งเสริมกาแฟไทยให้สามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และคว้าโอกาสในการเติบโตสู่ความยั่งยืนด้านอาหารอย่างแท้จริง โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพ การสร้างมูลค่าเพิ่ม การขยายตลาด การนำนวัตกรรมมาใช้ และการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งตลอดห่วงโซ่อุปทาน


ทั้งนี้ ภายใต้กรอบ MOU จะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อกำกับติดตามผลการดำเนินงาน พร้อมตั้งเป้าหมายพัฒนาเกษตรกรกว่า 12,000 ครัวเรือน เข้าสู่ระบบกาแฟคุณภาพภายใน 3 ปี โดยนำร่องในพื้นที่ 1,000 ไร่


นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเสวนา ในหัวข้อ "กาแฟกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ: โอกาส และความท้าทายสู่ความยั่งยืนด้านอาหาร" เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองจากภาคีเครือข่ายร่วมกัน ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้ จึงถือเป็ลไกสำคัญในการเพิ่มมูลค่ากาแฟไทยและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานกาแฟในระยะยาว ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกกาแฟเพื่อทดแทนการนำเข้า และปลูกกาแฟอย่างมีระบบมาตรฐาน คู่ขนานรณรงค์ไม่ให้เกิดการเผาเศษพืชบนพื้นที่สูง ซึ่งการปลูกกาแฟจะช่วยในการลดการเผาลงได้ และเชื่อว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชของเกษตรกรได้ด้วย
