SMART to Know: การเคลื่อนตัวของ “จีน” กับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย

          เศรษฐกิจโลก ในปี 2025 ชะลอตัวจากความผันผวน ทั้งในเรื่อง geopolitics ภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ เทคโนโลยี และปัญหา Climate change แต่ถึงกระนั้น ภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก ก็ยังเป็น “ศูนย์กลางการเติบโต” ของโลก ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน โดยมีปัจจัยเร่งคือการลงทุนด้านเทคโนโลยีสีเขียว และดิจิทัล

          สำหรับประเทศไทยแล้ว เรายังเป็น hub เชื่อมจีน–อาเซียน–โลก โดยเฉพาะในเรื่อง logistics, food และ green supply chain ความท้าทายในวันนี้คือโลกมีหลายขั้ว ไม่ใช่แค่จีนกับสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกัน การแข่งขันกันของขั้วอำนาจก็ยังถือเป็น “โอกาส” หากไทยเราวางตัวได้อย่างสมดุล และแม้ว่าไทยจะตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ แต่เราเองก็ต้องปรับ supply chain ไม่ใช่แค่การเป็น OEM ไม่ควรเป็นเพียงโรงงานผลิต แต่ต้องเป็น “Value Creator” ในห่วงโซ่เศรษฐกิจโลก เราควรใช้จุดแข็งที่มีอยู่ในหลาย ๆ ด้าน เช่น อาหาร เกษตร การท่องเที่ยว บริการสุขภาพ ผนวกเข้ากับการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวและดิจิทัล เพื่อเป็น trusted partner ให้ได้

          หันกลับมามองที่จีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจและตลาดที่ใหญ่มาก จีนนั้นยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย และการค้าระหว่างสองประเทศก็มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพสูง เช่น ผลไม้ ยางพารา และอาหารแปรรูป ซึ่งจีนยังมีความต้องการสูง นอกจากนี้ยังรวมถึงชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่เชื่อมกับห่วงโซ่การผลิตของจีน นอกจากนั้น ในด้านบริการ การท่องเที่ยวและสุขภาพจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ โดยเฉพาะ Medical Tourism และ Wellness ที่นักท่องเที่ยวจีนให้ความสนใจสูง ขณะเดียวกัน ในอนาคตเราจะได้เห็นโอกาสใหม่ในเศรษฐกิจสีเขียว ยานยนต์ไฟฟ้า และบริการดิจิทัล–อีคอมเมิร์ซ ที่จะทำให้ไทยกับจีนเชื่อมโยงกันในห่วงโซ่เศรษฐกิจโลกอย่างแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น


ปรับตัวอย่างไรกับแพลตฟอร์มออนไลน์จากจีน

          อีคอมเมิร์ซและแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีนวันนี้ ถือว่าเป็นกำลังหลักในการเชื่อมโยงการค้าระหว่างไทยกับจีน เพราะช่วยให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs สามารถเข้าถึงผู้บริโภคจีนได้โดยตรง สินค้าไทยหลายประเภท ทั้งผลไม้ อาหารแปรรูป เครื่องสำอาง ได้รับความนิยมสูงบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ แต่ก็มีความท้าทายที่เราต้องปรับตัว ทั้งเรื่องมาตรฐานสินค้า การทำการตลาดดิจิทัล และระบบโลจิสติกส์ ที่สำคัญคืออีคอมเมิร์ซไม่ได้เป็นเพียงช่องทางการขาย แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างแบรนด์ไทยในตลาดจีน ซึ่งจะยิ่งสำคัญมากขึ้นในอนาคต

          แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะดูซบเซา แต่พฤติกรรมการช้อปปิงผ่านแพลตฟอร์มจีนยังคงเติบโต ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เราต้องให้ความสำคัญกับมาตรการควบคุมคุณภาพสินค้าอย่างจริงจัง ปัจจุบันสินค้าออนไลน์ที่เข้ามาขายในไทย จำเป็นต้องผ่านมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. สำหรับอาหารและยา หรือ มอก. สำหรับสินค้าที่ใช้ในครัวเรือน ซึ่งในเรื่องนี้ หอการค้าไทยได้มีการหารือกับหน่วยงานรัฐบาลให้ช่วยตรวจสอบแหล่งที่มาและคุณภาพสินค้า


นโยบายภาษีสหรัฐต่อจีน...ผลกระทบต่อไทย

          นโยบายภาษีเข้มงวดของสหรัฐฯ ต่อจีนนั้น ไทยได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือสินค้าหลายชนิดที่ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตจีน เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือวัตถุดิบ อาจได้รับผลกระทบเพราะการส่งออกจีนไปสหรัฐฯ ลดลง ส่วนทางอ้อมคือความผันผวนของการค้าโลกและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น เพราะจีนอาจหันมารุกตลาดอาเซียนและตลาดเกิดใหม่มากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งนี่ก็อาจเปิดโอกาสให้สินค้าไทย โดยเฉพาะอาหารและเกษตร เข้าไปแทนที่ในตลาดสหรัฐฯ ดังนั้น ไทยต้องปรับตัวด้วยการกระจายตลาด ยกระดับมาตรฐาน และใช้ความร่วมมือทางการค้าอย่างเต็มที่ เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส

          สำหรับบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียนถือว่ากำลังขยายตัว เรามีทำเลที่เชื่อมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับตลาดโลก และกำลังพัฒนาโครงการสำคัญอย่าง EEC ซึ่งจะทำให้ไทยเป็น Gateway ที่แท้จริงของภูมิภาค แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีความท้าทายรออยู่เช่นกัน เพราะสหรัฐฯ เองก็จับตามองเรื่องสินค้าจีนที่อาจไหลผ่านไทย ดังนั้น ไทยต้องสร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใส มีมาตรฐานชัดเจน และทำให้โลกมั่นใจว่า ไทยไม่ใช่ช่องทางหลบเลี่ยงภาษี แต่เป็น Logistics Hub ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งในอนาคต ไทยจะไม่ใช่แค่เส้นทางผ่าน แต่ต้องเป็นศูนย์กลางที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เป็น Green Logistics และ Digital Logistics Hub ที่สามารถทำงานได้อย่างสมดุลทั้งกับจีนและสหรัฐ


ปรับตัวรับการลงทุนจากจีน

          การลงทุนของจีนในไทยมีผล 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทย ทั้งเงินทุน เทคโนโลยีใหม่ และโอกาสเชื่อมโยงตลาดจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอนาคตอย่างยานยนต์ไฟฟ้าและดิจิทัล ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เรียนรู้และเข้าร่วมในห่วงโซ่การผลิตระดับโลก แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความท้าทาย โดยเฉพาะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดจีนมากเกินไป ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัว ยกระดับมาตรฐาน และมองการลงทุนจีนไม่ใช่แค่คู่แข่ง แต่เป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือและต่อยอดธุรกิจร่วมกัน

          ธุรกิจไทยไม่สามารถพึ่งพาการแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะโลกวันนี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความยั่งยืน และประสบการณ์ของผู้บริโภค สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งทำคือการสร้างนวัตกรรม ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ควบคู่กับการสร้างแบรนด์ที่แข็งแรง มีตัวตนชัดเจน Storytelling จึงเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องเล่าเรื่องราวของสินค้าไทย ใช้ช่องทางดิจิทัลเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และยกระดับบุคลากรให้พร้อมกับการแข่งขันใหม่ ๆ เมื่อเราทำได้ สินค้าไทยจะไม่ใช่แค่ทางเลือกที่ราคาถูก แต่จะกลายเป็น First Choice ที่ผู้บริโภคทั่วโลกเชื่อมั่น


ยกระดับการค้าร่วมกับจีน

          การแข่งขันกับจีนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสินค้าจีนมีทั้งราคาที่แข่งขันได้และเทคโนโลยีที่พัฒนาเร็ว แต่ในอีกด้านหนึ่ง จีนก็เป็นนักลงทุนและคู่ค้าหลักของเรา ดังนั้น การหาสมดุลคือเราต้องแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ ยกระดับคุณภาพและนวัตกรรมของไทยให้ทัดเทียม ในขณะเดียวกัน เราควรร่วมมือกับจีนในด้านที่เราเสริมกันได้ เช่น เทคโนโลยีสีเขียว โลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซ ซึ่งจะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และทำให้ไทยก้าวจากการเป็นผู้ตาม ไปสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ที่มีคุณค่าในห่วงโซ่เศรษฐกิจโลก

          จีนในวันนี้ ถือเป็นผู้นำด้าน AI และดิจิทัลที่ก้าวหน้าอย่างมาก และด้วยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ไทยจึงมีโอกาสในการพัฒนาร่วมกับจีนในหลายมิติ ทั้งการทำวิจัยและนวัตกรรม ด้านโลจิสติกส์ การเกษตร และสุขภาพ รวมถึงการนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ อย่างยานยนต์ไฟฟ้าและเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งหอการค้าไทยกำลังผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ได้ถ่ายทอดความรู้และยกระดับบุคลากรของไทย เพื่อไม่ให้เราเป็นแค่ผู้บริโภคเทคโนโลยี แต่เป็นผู้พัฒนาและประยุกต์ใช้ได้จริงในบริบทของเรา โดยเป้าหมายคือทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลาง AI เชิงประยุกต์ของอาเซียน และสร้างคุณค่าร่วมกับจีน


Thailand-China Cooperation Expo 2025

          ในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน คณะกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในไทย ร่วมกับ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด จึงได้จัดงาน Thailand–China Cooperation Expo 2025 ขึ้น ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน: ก้าวสู่ความรุ่งเรืองร่วมกัน” 

          ภายในงานมีโซนกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น

•    Exhibition รวมสุดยอดสินค้าและบริการต่าง ๆ ตลอด Supply Chain บินตรงจากจีน และบริษัทจีนในไทย ให้ผู้ประกอบการได้ต่อยอดธุรกิจ เจรจาการค้า ชมสินค้าและนวัตกรรม ตลอดจนสามารถช็อปสินค้าในราคาพิเศษ พร้อมโปรโมชันเด็ดมากมาย อาทิ ส่วนลดเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ ค่ายมือถือ บริการทางธุรกิจ

•    Job Fair โอกาสแห่งการทำงานกับบริษัทจีน รวมตำแหน่งงานมาให้แล้วกว่า 3600 อัตรา จากกว่า 50 บริษัท พร้อมบูธจากกระทรวงแรงงาน

•    Education Fair โอกาสแห่งการศึกษาในประเทศจีน รวมทุนการศึกษามหาวิทยาลัยจีนมาให้แล้วกว่า 400 ทุน และทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไทยอีกมากมาย พร้อมบูธจากสถานศึกษาทั้งจีนและไทยรวมกว่า 30 บูธ

•    Seminar สัมมนาวิชาการ อัปเดตเทรนด์เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ จากผู้เชี่ยวชาญและบริษัทชั้นนำ


ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้างานฟรี! ได้ที่ http://bit.ly/3HWarns
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3HyA8di

 

          ความสัมพันธ์ไทย–จีนตลอด 50 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความแน่นแฟ้นและความไว้วางใจที่ทั้งสองประเทศมีต่อกัน ปัจจุบันจีนถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งและเป็นตลาดสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทย ในขณะเดียวกัน ไทยก็มีความพร้อมในหลายด้านที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดจีน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การท่องเที่ยว สุขภาพ บริการเชิงวัฒนธรรม และสินค้าเกษตรคุณภาพ ดังนั้น ไทยควรใช้โอกาสอันดีนี้ช่วยในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป