Smart to Know: รู้จักภาษี e-Payment

 

          ทุกวันนี้หลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจค้าขายปฏิเสธการรับเงินสด และเลือกที่จะรับเฉพาะเงินโอนหรือบัตรเครดิต และไม่ว่าจะด้วยกระแสสังคมไร้เงินสด หรือเพื่อความสะดวกในการจัดทำบัญชีที่สะดวกมากยิ่งขึ้น ทางกรมสรรพากรก็ไม่นิ่งนอนใจพร้อมออกกฎหมาย ภาษี e-Payment มาตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ ภาษี e-Payment ไม่ใช่ภาษีประเภทใหม่ที่เพิ่มเข้ามา แต่เป็นการปรับปรุงและเพิ่มเติมกฎหมายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำธุรกรรมผ่านระบบ e-Payment ซึ่งช่วยให้การตรวจสอบรายได้ของบุคคลและบริษัทต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ภาษี e-Payment คืออะไร?

          ภาษี e-Payment คือ ภาษีที่บังคับใช้เพื่อให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการด้านการเงิน (e-wallet) หรือ Payment Gateway จำเป็นที่จะต้องยื่นเอกสารรายละเอียดเจ้าของบัญชีที่มีจำนวนธุรกรรมของบัญชีเข้าข่ายที่ทางกรมสรรพากรกำหนด ที่ซึ่งกฎหมายนี้บังคับใช้ทั้งธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดา และธุรกิจที่ได้ทำการจดทะเบียนนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว โดยภาษี e-Payment อยู่ในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562

          ผู้ประกอบการหลายท่านอาจตกใจเมื่อเห็นประกาศว่าเป็น ภาษี แต่ในความเป็นจริงแล้วภาษีประเภทนี้เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินในการยื่นข้อมูลให้กรมสรรพากร และผู้ประกอบการไม่จำเป็นเตรียมเอกสารเพื่อยื่น และไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่ม ทั้งนี้หากบัญชีของเราเข้าข่ายเงื่อนไขที่ธนาคารจะทำการยื่นเอกสาร ก็อาจต้องมีการเตรียมเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมโดยขึ้นอยู่กับทางกรมสรรพากร


เงื่อนไขการยื่นภาษี e-Payment มีอะไรบ้าง?

          สำหรับเงื่อนไข หรือการทำธุรกรรมที่เข้าข่ายเกณฑ์ของภาษี e-Payment ที่บังคับให้สถาบันการเงินต้องยื่นข้อมูลของเจ้าของบัญชีให้แก่ทางกรมสรรพากร ประกอบไปด้วย 2 ข้อหลักดังนี้

1.    มียอดฝากหรือโอนเงินเข้าบัญชีจำนวนมากกว่า 3,000 ครั้ง/ปี
       หากบัญชีของเราเข้าข่าย ทางธนาคารจะทำการยื่นข้อมูลให้กรมสรรพากรตามภาษี e-Payment คือ จำนวนการฝากเงินเข้าบัญชี รวมไปถึงการโอนเงินเข้าบัญชี หากมีจำนวนครั้งมากกว่า 3,000 ครั้ง/ปี จะถือว่าเข้าข่ายที่กรมสรรพากรอาจตรวจสอบ

2.    มียอดการฝากเงินหรือโอนเงินเข้าบัญชีมากกว่า 400 ครั้ง/ปี และจำนวนเงินรวมกันมากกว่า 2 ล้านบาท/ปี
       เงื่อนไขนี้จะเกิดขึ้นเมื่อบัญชีนั้น ๆ มียอดการฝากเงิน หรือโอนเข้าบัญชีมากกว่า 400 ครั้ง/ปี และในขณะเดียวกัน ในจำนวน 400 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ยอดเงินรวมต้องมากกว่า 2 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งในเงื่อนไขนี้ต้องเข้าข่ายทั้งจำนวนครั้ง และจำนวนเงินรวม

      ** เมื่อเจ้าของบัญชีมีธุรกรรมเข้าข่ายเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ทางสถาบันการเงินจะต้องนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร

ยกตัวอย่างเงื่อนไขที่ 2 (มีความซับซ้อนมากกว่าเงื่อนไขที่ 1 เล็กน้อย)
นาย A มียอดโอนเข้า 500 ครั้ง/ปี ยอดรวมทั้งสิ้น 3 ล้านบาท = เข้าข่ายที่ธนาคารต้องยื่นข้อมูล
นาย B มียอดโอนเข้า 500 ครั้ง/ปี ยอดรวมทั้งสิ้น 1,900,000 บาท = ไม่เข้าข่าย เนื่องจากยอดรวมไม่ถึงกำหนด

นอกจากนี้ เงื่อนไขดังกล่าวนับรวมทุกบัญชีภายใต้สถาบันการเงินนั้น ๆ ยกตัวอย่างจากเงื่อนไขข้อที่ 1 ดังนี้
นาย A เปิดบัญชีกับธนาคารแห่งหนึ่งทั้งหมด 3 บัญชีด้วยกัน ซึ่งแต่ละบัญชีมีจำนวนการโอนเงินเข้าดังนี้
บัญชีที่หนึ่ง : 2,000 ครั้ง
บัญชีที่สอง : 1,000 ครั้ง
บัญชีที่สาม : 2,000 ครั้ง
ในกรณีนี้นาย A มียอดโอนเงินเข้าทั้งหมด 5,000 ครั้งเมื่อรวมทุกบัญชี เท่ากับว่าเข้าข่ายเงื่อนไขที่สถาบันการเงินต้องยื่นข้อมูลของนาย A ให้กรมสรรพากร


ทำไมกรมสรรพากรถึงต้องมีภาษี e-Payment

          การเกิดขึ้นของภาษี e-Payment ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บเงินจากผู้ประกอบการเพิ่ม แต่เป็นกฎหมายที่ให้สรรพากรสามารถจัดการกับระบบภาษี และการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่ายขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อสำหรับบริการประชาชน และเป็นการรองรับบริการต่าง ๆ ด้านภาษีที่ในอนาคตจะกลายเป็นรูปแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น

          นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้เจ้าของธุรกิจ เช่น ป้องกันบางธุรกิจที่เสียภาษีที่ไม่ถูกต้องครบถ้วน เอาเปรียบธุรกิจอื่น ๆ รวมไปถึงธุรกิจสีเทาที่มีการโอนเงินไปมาบ่อย เพื่อให้กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ซึ่งทางกรมสรรพากรจะนำข้อมูลที่ยื่นโดยธนาคารมาวิเคราะห์เพิ่มเติม ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่เข้าข่ายเงื่อนไขจะต้องถูกเรียกตรวจสอบทุกคน

          ทั้งนี้ ข้อมูลที่ธนาคารต้องส่งให้กรมสรรพากร (หากมีบัญชีที่เข้าข่าย) ประกอบไปด้วย
•    ชื่อ–นามสกุลเจ้าของบัญชี
•    เลขประจำตัวประชาชน
•    เลขบัญชีเงินฝาก
•    ยอดรวมที่เกิดขึ้นจากการฝากหรือรับเงินโอน
•    จำนวนครั้งที่เกิดขึ้นจากการฝากหรือรับเงินโอน

          เมื่อกรมสรรพากรได้ข้อมูลส่วนนี้ไป หากเจ้าของบัญชีมีพฤติกรรมเข้าข่ายน่าสงสัย หรือมีการเสียภาษีไม่ครบถ้วน ทางกรมสรรพากรจะเรียกพบอีกครั้ง


ผลกระทบต่อ SMEs

           การบังคับใช้กฎหมายภาษี e-Payment อาจมีผลกระทบบ้างต่อผู้ประกอบการที่เคยทำธุรกิจในรูปแบบเงินสดเป็นหลัก แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีการเสียภาษีถูกต้องครบถ้วน ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภาษีในส่วนนี้ ไม่จำเป็นต้องยื่นเพิ่ม หรือเสียเพิ่มแต่อย่างใด เพราะเป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินในการดำเนินการทั้งหมด แต่หากจะมองข้อดีข้อเสีย อาจสรุปได้ดังนี้

ข้อดี
•    สร้างความน่าเชื่อถือ: การทำธุรกิจแบบโปร่งใสและเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการ
•    เข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น: เมื่อมีหลักฐานทางการเงินที่ชัดเจน สถาบันการเงินจะพิจารณาให้สินเชื่อง่ายกว่าเดิม
•    ยกระดับมาตรฐานธุรกิจ: ผลักดันให้ SMEs ปรับตัวเข้าสู่ระบบดิจิทัล ทำให้การบริหารจัดการธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การทำบัญชีและการจัดการสต็อก

ข้อเสีย
•    ภาระด้านการทำบัญชี: ผู้ประกอบการต้องจัดการเอกสารและทำบัญชีให้เป็นระบบมากขึ้น เพื่อรองรับการตรวจสอบจากสรรพากร
•    การปรับตัวด้านต้นทุน: อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการจ้างนักบัญชี หรือการใช้ซอฟต์แวร์บริหารจัดการ
•    ความกังวล: ผู้ประกอบการบางรายอาจกังวลว่ายอดขายที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นจนไม่คุ้ม


แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ

          แนะนำให้ SMEs มองเรื่องนี้เป็นโอกาสในการยกระดับธุรกิจมากกว่าเป็นอุปสรรค โดยสามารถดำเนินการต่าง ๆ เช่น

•    จัดทำบัญชีให้เป็นระบบ: เริ่มจากง่าย ๆ ด้วยการแยกบัญชีส่วนตัวและบัญชีธุรกิจ อย่างชัดเจน เพื่อให้การตรวจสอบรายรับรายจ่ายทำได้ง่ายขึ้น

•    ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: นักบัญชีหรือที่ปรึกษาด้านภาษี คือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณในสถานการณ์นี้ พวกเขาจะช่วยวางแผนภาษีและแนะนำการใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อย่างถูกต้อง

•    ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการ: มีแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์บริหารจัดการธุรกิจ สำหรับ SMEs มากมายในตลาดที่ช่วยให้การทำบัญชี การออกบิล และการจัดการเอกสารเป็นเรื่องง่าย

•    ใช้สิทธิ์การลดหย่อนให้เต็มที่: อย่าลืมศึกษาและใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ ที่ภาครัฐมอบให้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจ หรือการหักค่าใช้จ่ายตามจริง

          เมื่อมีการตรวจสอบจากกรมสรรพากรที่ละเอียดยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการควรมีการจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ หรือทำบัญชีในระบบออนไลน์ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจ SME ขายสินค้าออนไลน์ ที่ยอดเงินส่วนใหญ่จากลูกค้าจะเป็นเงินโอนเข้าบัญชี การเก็บข้อมูลส่วนนี้ให้ครบถ้วนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรมีการตรวจสอบรายรับในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดทางด้านบัญชีในอนาคต นอกจากนั้น การทำรายงานบัญชีอย่างสม่ำเสมอก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นตัวเลขที่ชัดเจน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดด้านบัญชีไปจนถึงการยื่นภาษีในแต่ละปีได้


การปรับตัวในวันนี้จะช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
และยังช่วยให้เราสามารถแข่งขันในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไปได้อย่างไม่กลัวใคร


 

อ้างอิงจากบทความ https://www.peakaccount.com/blog/tax/gen-tax/understanding-epayment-tax