SMART to Know: เรื่องต้องรู้ เมื่อจะขอสินเชื่อ

          การขอสินเชื่อเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ แต่การจะได้รับอนุมัติสินเชื่อนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงประเภทของสินเชื่อ เกณฑ์การพิจารณาของธนาคาร และการเตรียมตัวที่ถูกต้อง บทความนี้จะสรุปสาระสำคัญจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อเพิ่มขึ้น

 

ประเภทของสินเชื่อที่ควรรู้

          สินเชื่อสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ สินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่ออุปโภคบริโภค

1.    สินเชื่อธุรกิจ (Business Loans) แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก

       •    สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน (Revolving Fund) ใช้สำหรับหมุนเวียนในกิจการ เช่น การเพิ่มยอดขาย การซื้อสินค้าแบบมีเครดิต การให้เครดิตการขาย การเพิ่มสต็อกสินค้า หรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ประเภทของสินเชื่อหมุนเวียนที่รู้จักกันดี ได้แก่ OD (Overdraft), PN (Promissory Note), L/C (Letter of Credit), T/R (Trust Receipt), และ Packing Credit. หลักการคือ "หมุนแล้วเวียน" คือเมื่อได้เงินจากการขายสินค้าแล้วต้องนำเงินกลับมาคืนธนาคาร เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนใหม่ แต่ปัญหาที่พบบ่อยคือ "หมุนไปแต่ไม่หมุนกลับ" ทำให้เกิดภาระหนี้สะสม

       •    สินเชื่อระยะยาว (Term Loan) สำหรับการลงทุนเพิ่มหรือขยายกิจการ เช่น การสร้างโรงงาน การซื้อที่ดิน การซื้อเครื่องจักร หรือยานพาหนะ สินเชื่อประเภทนี้มักมีระยะเวลาผ่อนชำระนานกว่า 1 ปี โดยปกติจะผ่อนชำระเป็นรายงวด และมีระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 10 ปี การขอสินเชื่อประเภทนี้จำเป็นต้องมีแผนธุรกิจ (Business Plan) ที่ชัดเจนด้วย

       •    สินเชื่อค้ำประกัน (Guarantee Loan) เช่น หนังสือค้ำประกัน (L/G-Letter of Guarantee) ที่ธนาคารออกให้เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการประมูลงาน แทนการวางเงินสดจำนวนมาก


2.    สินเชื่ออุปโภคบริโภค (Consumer Loans) โดยทั่วไปไม่ได้มีวัตถุประสงค์โดยตรงกับธุรกิจ แต่บางครั้งผู้ประกอบการก็อาจใช้ควบคู่กันไป เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรกดเงินสด สินเชื่อเช่าซื้อ (Hire Purchase) สำหรับการซื้อรถยนต์หรือเครื่องจักรที่เมื่อผ่อนหมดแล้วกรรมสิทธิ์เป็นของเรา หรือสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เป็นต้น


หลัก 4 ประการ ในการพิจารณาสินเชื่อ

          ธนาคารจะมีหลักเกณฑ์สำคัญ 4 ประการในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ได้แก่

1. วัตถุประสงค์ในการขอเงินกู้ (Purpose) วัตถุประสงค์ที่ธนาคารต้องการ ต้องเป็นการกู้เพื่อ “สร้างรายได้” หรือลงทุนในทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น การกู้เพื่อเพิ่มยอดขาย การขยายเครดิตซื้อวัตถุดิบ การให้เครดิตขายแก่ลูกค้า การเพิ่มสต็อกสินค้า หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (ซื้อที่ดิน ก่อสร้างโรงงาน) และสังหาริมทรัพย์ (ซื้อเครื่องจักร รถยนต์เพื่อขนส่ง) ที่มีแผนธุรกิจรองรับชัดเจน
ส่วนวัตถุประสงค์ที่ธนาคารไม่ต้องการ เช่น การกู้เพื่อรีไฟแนนซ์ การกู้เพื่อชำระหนี้เดิม การกู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เช่น จ่ายเงินเดือนพนักงานเมื่อไม่มีรายได้) หรือการกู้เพื่อเก็งกำไร (เช่น เล่นหุ้น) เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยง ทั้งนี้ การกู้เงินทุกครั้งต้องมีรายได้รองรับเสมอ เพื่อให้สามารถชำระหนี้กับธนาคารได้

2. คุณสมบัติของผู้กู้ (Borrower Qualifications) คุณสมบัติของผู้กู้ที่ธนาคารพิจารณา ได้แก่

  • เจ้าของกิจการ (Character) ธนาคารจะดูบุคลิกลักษณะและผู้มีอำนาจลงนามของกิจการ
  • อายุของกิจการ (Business Age) ธุรกิจที่มีอายุเกิน 3 ปี มักจะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ เนื่องจากธนาคารมองว่ากิจการเริ่มอยู่ตัวและมีความมั่นคง หากอายุกิจการน้อย โอกาสถูกปฏิเสธจะสูงกว่า
  • สัญญาเช่า (สำหรับสถานประกอบการที่เป็นการเช่า) สัญญาเช่าที่ระยะเวลานานกว่าระยะเวลาผ่อนชำระสินเชื่อจะได้รับพิจารณาที่ดีกว่า สัญญาเช่าแบบปีต่อปีถือเป็นความเสี่ยงสำหรับธนาคาร
  • ทุนจดทะเบียน (Registered Capital) ธนาคารจะพิจารณาว่าทุนจดทะเบียนมีการชำระเต็มจำนวนหรือไม่ การชำระเต็มแสดงถึงความพร้อมทางการเงินของกิจการ หากยังชำระไม่เต็ม ธนาคารอาจแนะนำให้นำส่วนที่เหลือมาชำระก่อนการกู้ยืม
  • ใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง (Relevant Licenses) ต้องมีใบอนุญาตต่าง ๆ ที่จำเป็นและถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ใบอนุญาตโรงงาน (รง.4).
  • หลักฐานทางภาษี (Tax Evidence) แสดงประวัติการชำระภาษี
  • มูลค่าการลงทุนในกิจการ (Investment Value) ผู้กู้ต้องทราบและระบุมูลค่าการลงทุนที่ต้องการขอสินเชื่ออย่างชัดเจน
  • ผลประกอบการที่ผ่านมา (Past Performance) กิจการต้องมีกำไร และมีกำไรมากพอที่จะรองรับภาระหนี้ใหม่ได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมีข้อกำหนดห้ามธนาคารปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการที่ขาดทุนในปีล่าสุด
  • หลักฐานการเดินบัญชี (Bank Statement) การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอ ทั้งรับและจ่ายเงิน แสดงให้เห็นถึงปริมาณธุรกิจและความสามารถในการชำระหนี้ ดังนั้น ควรใช้บัญชีธุรกิจโดยเฉพาะ ไม่ควรปนกับบัญชีส่วนตัว
  • เครดิตบูโร (Credit Bureau) ธนาคารจะตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ และพฤติกรรมการเป็นหนี้ที่ผ่านมาของผู้กู้ กรรมการผู้มีอำนาจ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และผู้ค้ำประกัน พฤติกรรมการชำระล่าช้าหรือไม่สม่ำเสมอ (เช่น ผ่อนฟันหลอ) หรือการมีหนี้ที่ไม่ได้แจ้งธนาคาร จะส่งผลเสียต่อการพิจารณา

 

3. ความสามารถในการชำระหนี้ (Ability to Pay/ Capacity) หลักสำคัญคือ ธนาคารจะประเมินกิจการหรือผู้กู้ว่ามีกำไรมากพอที่จะชำระหนี้ที่จะก่อเพิ่มขึ้นใหม่ได้ และยังสามารถชำระหนี้เดิมได้ด้วย โดยธนาคารจะพิจารณาจากประเด็นต่าง ๆ เช่น

  • งบการเงินย้อนหลัง (Past Financial Statements) โดยเฉพาะงบการเงินของปีล่าสุด
  • ตัวเลขสรุปผลประกอบการปัจจุบัน (Current Performance Figures) เช่น ตัวเลข 6 เดือนล่าสุดของปีปัจจุบัน
  • ประมาณการรายได้ของธุรกิจในอนาคต
  • แผนธุรกิจ (Business Plan) เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างรายได้ใหม่
  • ความรับผิดชอบต่อหนี้เดิมและหนี้ใหม่
  • ระยะเวลาการกู้

          ทั้งนี้ ธนาคารจะดูงบการเงินหลัก 3 ตัว ได้แก่ “งบกำไรขาดทุน” (แสดงความสามารถในการทำธุรกิจ) “งบดุล” (แสดงฐานะและความมั่งคั่งของกิจการ) และ “งบกระแสเงินสด” (แสดงสภาพคล่องทางการเงินและเงินทุนหมุนเวียน)

4. การปิดความเสี่ยงของธนาคาร (Risk Mitigation) ธนาคารต้องการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ให้ได้มากที่สุด จึงพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยมีเงื่อนไขเพื่อลดความเสี่ยง เช่น

•    ลดวงเงินสินเชื่อที่ขอ หากกำไรไม่เพียงพอสำหรับวงเงินที่ต้องการ
•    ควบคุมการใช้วงเงิน หรือกำหนดเพดาน
•    แปลงหนี้เป็นทุน หากมีรายการเงินกู้ยืมกรรมการในงบการเงิน
•    ให้ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือกรรมการที่มีอำนาจบริหารร่วมค้ำประกัน
•    เพิ่มบุคคลภายนอกค้ำประกัน
•    ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น จำนองที่ดิน
•    ใช้ บสย.ค้ำประกัน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้กับธนาคาร

 

          ธนาคารจะปฏิเสธสินเชื่อหากกิจการไม่มั่นคง มีข้อมูลไม่ชัดเจน ไม่แน่นอน ไม่ถูกกฎหมาย มีภาระหนี้สูง มีปัญหาทางการเงิน หรือไม่มีประวัติเครดิต


Checklist เอกสารประกอบการยื่นขอสินเชื่อ

          การเตรียมเอกสารที่ครบถ้วนและถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเอกสารที่ต้องเตรียม ได้แก่

  • เอกสารเกี่ยวกับตัวผู้กู้ (บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล)
  • เอกสารเกี่ยวกับสถานประกอบการ (สัญญาเช่า/ ซื้อขาย)
  • เอกสารเกี่ยวกับกิจการ
  • เอกสารเกี่ยวกับผลประกอบการ (งบการเงินฉบับเต็ม หลักฐานรายได้)
  • เอกสารเกี่ยวกับการเดินบัญชี (Statement) และเครดิตบูโร
  • เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนธุรกิจ (ถ้าเป็นการขยายงาน)
  • เอกสารเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการขอกู้ (เช่น สัญญาซื้อขาย ใบสั่งซื้อ PO รายละเอียดผังโรงงาน/ เครื่องจักร/ กำลังการผลิต)
  • เอกสารที่สร้างความมั่นใจให้เจ้าหนี้ (เช่น สัญญาจ้างที่ได้รับจากการประมูลงาน)

หลักคิดสำคัญก่อนการกู้เงิน

          ผู้ประกอบการควรถามตัวเองด้วยหลักคิดสำคัญเหล่านี้ก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อ

  • ถึงเวลาที่ต้องกู้แล้วหรือยัง? การถูกปฏิเสธสินเชื่อจะบันทึกในเครดิตบูโร ซึ่งส่งผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคต
  • กิจการโตด้วยทุนหรือโตด้วยหนี้? การพึ่งพาทุนของตนเอง (จากกำไรสะสม) จะทำให้การบริหารจัดการง่ายกว่าการพึ่งพาหนี้สินตลอดเวลา
  • เงินกู้คือภาระ ต้องพร้อมและมั่นใจว่ากิจการสามารถแบกรับภาระที่เพิ่มขึ้นได้
  • ยินดีเปิดเผยข้อมูล ควรเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดให้ธนาคารทราบอย่างตรงไปตรงมา เพื่อความโปร่งใสและโอกาสในการอนุมัติที่สูงขึ้น
  • เลือกเจ้าหนี้ให้เหมาะสม บางธนาคารอาจไม่มีนโยบายสินเชื่อสำหรับธุรกิจบางประเภท ดังนั้นควรเลือกธนาคารที่มีนโยบายตรงกับธุรกิจของเรา
  • มีการวางแผนและแผนสำรอง การวางแผนการเงินและธุรกิจอย่างรอบคอบ รวมถึงแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน

ปัญหาของ SME ในเรื่องงบการเงิน

  • การมีหลายบัญชี ตั้งแต่ปี 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทยบังคับให้ธนาคารพิจารณาเฉพาะ บัญชีทางราชการ (บัญชีธุรกิจ) เท่านั้น บัญชีส่วนตัวจะไม่ถูกนำมาพิจารณา
  • เอกสารประกอบการบันทึกบัญชีไม่ครบ ทำให้การบันทึกบัญชีไม่สมบูรณ์ และตัวเลขในงบการเงินอาจไม่ถูกต้อง (เช่น เงินให้กรรมการกู้ยืม) ควรเก็บเอกสารการทำธุรกรรมให้ครบถ้วน
  • ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องงบการเงิน บางครั้งผู้ประกอบการมุ่งเน้นการบริหารภาษีให้เสียภาษีน้อยที่สุด โดยยอมให้งบการเงินแสดงผลขาดทุน ซึ่งส่งผลให้ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อ
  • ใช้เงินปนกัน การนำเงินธุรกิจและเงินส่วนตัวมาปะปนกัน ทำให้ยากต่อการแยกแยะและบริหารจัดการทางการเงิน
  • ขาดการวางแผนการเงินและภาษี การขาดการวางแผนที่ดี ทำให้กิจการขาดความมั่นคงและข้อมูลไม่ชัดเจน
  • คำแนะนำจากสำนักงานบัญชีที่ไม่ครบถ้วน บางครั้งคำแนะนำอาจไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวต่อการขอสินเชื่อ

เตรียมตัวก่อนขอสินเชื่อ

          เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อ ผู้ประกอบการควรเตรียมตัวดังนี้

  • วางแผนการเงินและแผนธุรกิจล่วงหน้าอย่างละเอียด
  • กำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้เงินกู้ให้ชัดเจน
  • เตรียมข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนและถูกต้อง
  • เลือกสถาบันการเงินและผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสมกับประเภทธุรกิจและวัตถุประสงค์ของตน
  • ศึกษาเงื่อนไขและกติกาของแต่ละธนาคาร และผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
  • ติดต่อใช้บริการที่ถูกจุด
  • นำเสนอข้อมูลและเชิญธนาคารเยี่ยมชมกิจการ เพื่ออธิบายในบางประเด็นที่ธนาคารอาจไม่เข้าใจ

 

          การเตรียมตัวอย่างรอบคอบและเข้าใจถึงมุมมองของธนาคารจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติสินเชื่อและส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ เช่น TCG FA Center ผ่าน Line Official Account: @TCG First

 

 

อ้างอิงจากการบรรยายหัวข้อ “เทคนิคการเตรียมความพร้อมเพื่อขอสินเชื่อ”
โดย คุณจักรภพ  เมธธาวีชัย
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมลูกค้าและพัฒนาผู้ประกอบการ
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
ในงานมหกรรม SMEs หอการค้า 5 ภาค วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ณ จังหวัดกำแพงเพชร