ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย กล่าวว่า สถานการณ์และแนวโน้มการส่งออกสินค้าทูน่า ตัวเลขการส่งออกสินค้าทูน่าและอาหารสัตว์เลี้ยงกระป๋อง (ทำจากปลา) เพิ่มขึ้นในปี 2018 เฉลี่ยทั้งปี มีปริมาณ 600,400 ตัน มูลค่า 82,620 ล้านบาท หรือ 2,580 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2017 คิดเป็น 6%, 5% และ 11% ตามลำดับ โดยแบ่งเป็น
1) การส่งออกทูน่ากระป๋องและทูน่าลอยด์ ในปี 2018 เฉลี่ยทั้งปี มีปริมาณ 513,940 ตัน มูลค่า 72,990 ล้านบาท หรือ 2,280 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2017 คิดเป็น 5%, 4% และ 10% ตามลำดับ
2) การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงกระป๋อง(ทำจากปลา) ในปี 2018 เฉลี่ยทั้งปี มีปริมาณ แต่ 86,480 ตัน มูลค่า 9,630 ล้านบาท หรือ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2017 คิดเป็น 17%, 16% และ 23% ตามลำดับ
จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการส่งออกสินค้าทูน่าเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากทั่วโลกให้ความสำคัญและยอมรับสินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงอย่างยั่งยืน และมีการปกป้องสิทธิมนุษยชน ตลาดมีแนวโน้มดีขึ้น สินค้ามีมูลค่าเพิ่มและส่งออกได้ดีมาก
และคาดว่าในปี 2019 จะเติบโตได้ 10% เนื่องจากแนวโน้มวัตถุดิบมีเสถียรภาพ และภาครัฐให้ความช่วยเหลือในการทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainability) การตรวจสอบย้อนกลับ(Traceability) และการปกป้องสิทธิมนุษยชน (Human Rights Protection) ทำให้ประเทศต่าง ๆ ให้การยอมรับสินค้าสัตว์น้ำของไทย นอกจากนี้ ทางอุตสาหกรรมทูน่าได้สนับสนุนการทำประมงพื้นบ้านและพาณิชย์ โดยรับซื้อปลาโอที่จับจากเรือไทย ซึ่งชาวประมงได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากปลาที่ตัวใหญ่ขึ้น และรับซื้อสัตว์น้ำจากเรือประมงพื้นบ้านและเรือประมงพาณิชย์อื่น ๆ เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงด้วย

คุณวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า สถานการณ์อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสำเร็จรูป ปี 2561 มีปริมาณการส่งออก 8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 มูลค่าการส่งออก 21,415 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 การส่งออกอาหารสำเร็จรูปโดยรวมมีปริมาณการส่งออก 2.8 ล้านตัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มูลค่าการส่งออก 191,065 ล้านบาท หรือ 5,939 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยหดตัวลงร้อยละ 2 ในรูปเงินบาท และ ขยายตัวร้อยละ 3 ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดีในปี 2561 นี้ ได้แก่
1) สินค้ากลุ่มอาหารทะเล มีปริมาณ 114,817 ตัน ขยายตัวร้อยละ 11.9 มูลค่าการส่งออก 12,908 ล้านบาท หรือ 403 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 4.8 และร้อยละ 10.4 ตามลำดับ โดยสินค้าที่ขยายตัวโดดเด่น คือ ซาร์ดีนและแมคเคอเรลกระป๋อง ซึ่งซาร์ดีนกระป๋อง มีปริมาณการส่งออก 63,796 ตัน ขยายตัวร้อยละ 22.4 คิดเป็นมูลค่า 4,703 ล้านบาท หรือ 147 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 22.6 และ ร้อยละ 28.9 ตามลำดับ ตลาดส่งออกหลักคือ แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ยังขยายตัวได้ดีในทุกตลาด สินค้าแมคเคอเรลกระป๋อง มีปริมาณการส่งออก 31,502 ตัน ขยายตัวร้อยละ 18 คิดเป็นมูลค่า 2,718 ล้านบาท หรือ 85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 21.8 และ ร้อยละ 28.8 ตามลำดับ ตลาดส่งออกหลักคือ ญี่ปุ่น จาไมก้า และ สหรัฐฯ โดยตลาดญี่ปุ่นและจาไมก้ายังขยายตัวได้ดี
2) สินค้ากลุ่มผักและผลไม้ สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดีคือ ข้าวโพดหวานกระป๋อง กะทิ และกลุ่มผลไม้อบแห้ง โดยข้าวโพดหวานกระป๋อง ปริมาณการส่งออก 228,796 ตัน ขยายตัวร้อยละ 10 มีมูลค่า 6,880 ล้านบาท หรือ 214 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 3.6 และร้อยละ 9 ตามลำดับ ตลาดส่งออกหลักคือ ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวันซึ่งขายตัวได้ดีในทุกตลาด กะทิ มีปริมาณการส่งออก 261,422 ตัน ขยายตัวร้อยละ 7.7 มีมูลค่า 13,840 ล้านบาท หรือ 432 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 6.4 และร้อยละ 12.2 ตามลำดับ ตลาดส่งออกหลักคือ สหรัฐฯ และออสเตรเลียยังขยายตัวดี
3) สินค้ากลุ่มเครื่องปรุงและอาหารพร้อมรับประทาน มีปริมาณการส่งออก 683,141 ตัน ขยายตัวร้อยละ 3 มีมูลค่า 43,621 ล้านบาท หรือ 1,424 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 1 และร้อยละ 4 ตามลำดับ สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี คือ ซอสถั่วเหลือง ซอสพริก น้ำปลา ซอสหอยนางรม และเครื่องแกงต่าง ๆ
ทั้งนี้ ปี 2562 การส่งออกอาหารสำเร็จรูปจะสามารถขยายตัวร้อยละ 5 อันมาจากโอกาสทางการค้าในการขยายตลาดเข้าสู่ประเทศกลุ่มตลาดใหม่ เช่น ละตินอเมริกา แอฟริกา ตะวันออกกลาง การเพิ่มยอดขายในกลุ่มประเทศที่ซบเซาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะ CLMV ที่กำลังขยายตัวได้ดี สำหรับอุปสรรคของอุตสาหกรรม ได้แก่ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่สืบเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา, ความผันผวนของราคาน้ำมัน ทำให้กำลังซื้อของประเทศผู้ค้าน้ำมันลดลง, การถูกตัดสิทธิ GSP ของสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ในสินค้าบางรายการของไทย ทำให้ความสามารถทางการแข่งขันลดลง อีกทั้งประเทศคู่แข่งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าที่ดีกว่า เช่น GSP+ , FTA รวมถึงสภาวะสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังคงยืดเยื้อทำให้บรรยากาศการค้าโลกไม่สดใส และส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เป็นต้น
แถลงข่าว : ขอบคุณรัฐบาลปลดล็อคใบเหลือง IUU Fishing
คุณกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการสายงานธุรกิจสินค้าเกษตรและอาหาร กล่าวว่า ตามที่ สหภาพยุโรป หรือ EU ประกาศให้ประเทศไทย ได้ใบเหลืองในการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา ภายหลังจากรัฐบาลได้การดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง โดย ฯพณฯนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (คุณกฤษฎา บุญราช) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (คุณอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (คุณดอน ปรมัตถ์วินัย) กองทัพเรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จากผลงานของความมุ่งมั่นและการดำเนินงานอย่างจริงจังของรัฐบาลไทยและหน่วยงานภาครัฐที่กล่าวมานั้น ส่งผลให้สหภาพยุโรป (EU) ได้ปลดล็อคใบเหลืองประเทศไทยในการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ทั้งนี้ ภาคเอกชนไทย โดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้อง ขอขอบคุณ และชื่นชมรัฐบาล โดย ฯพณฯนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เป็นอย่างยิ่งในการดำเนินการแก้ไขปัญหา IUU Fishing มาตลอดระยะเวลา 4 ปี ซึ่งสะท้อนให้สังคมโลกเห็นว่าประเทศไทยเป็นผู้นำภูมิภาคในการแก้ไขปัญหา IUU Fishing อย่างแท้จริง รวมทั้ง การดำเนินการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว แรงงานเด็ก และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน โดยในปี 2561 รายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ TIPs Report ประเทศไทยอยู่ที่ระดับ Tier 2 ทั้งหมดนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญให้กับประเทศไทย ในการการพัฒนาธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมประมงของไทยในอนาคต ตลอดจน การส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย และการเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่สินค้าประมงที่ส่งออกไปต่างประเทศต่อตลาดโลกและประเทศผู้นำเข้าให้เกิดการยอมรับอย่างยั่งยืน
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ กล่าวสรุปว่า ท้ายที่สุดนี้ ในนามของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมการค้าประกอบด้วย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย จะร่วมมือสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมทุกอย่างของรัฐบาลให้สอดคล้องกับข้อกำหนด กฎหมาย ทั้งของไทยและมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ พัฒนาระบบ สร้างความยั่งยืน และความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์สินค้าประมงไทยต่อนานาประเทศไป