Change maker : ผู้นำอุตสาหกรรมไทยกับบทบาทในโลกเปลี่ยนผ่าน

วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นวิทยากรการเสวนา หัวข้อ “Change maker : ผู้นำอุตสาหกรรมไทยกับบทบาทในโลกเปลี่ยนผ่าน”ภายในงานBoilex Asia และ Pumps and Valves Asia 2025 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จัดโดย อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และ Informa Markets โดยได้รับเกียรติจากนายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงานสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Igniting the Industrial Future”  จุดประกายอนาคตอุตสาหกรรมไทย

โดยประเด็นสำคัญของการเสวนา “Change maker : ผู้นำอุตสาหกรรมไทยกับบทบาทในโลกเปลี่ยนผ่าน” ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ได้นำเสนอประเด็นสำคัญ อาทิ

  • สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนผ่านเป็นภาพใหญ่ที่เราต้องมอง อาทิ เศรษฐกิจโลกผันผวนสูง ฟื้นตัวช้า ดอกเบี้ยสูง เงินเฟ้อเรื้อรัง และหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น อีกทั้งการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Fragmentation) ส่งผลต่อโซ่อุปทานทั่วโลก หากพิจารณาขีดความสามารถแข่งขันของไทยลดลง ข้อมูล IMD World Competitiveness Ranking ปี 2025 ไทยตกมาอยู่อันดับที่ 30 
  • ความท้าทายของกลยุทธ์การค้าและการลงทุนระหว่างไทย–สหรัฐฯ ได้กล่าวถึง ยอดการส่งออกการวางยุทธศาสตร์เชิงรุกรับมือ Trump 2.0 ลดความเสี่ยงการขึ้นภาษี หอการค้าไทย ได้ร่วมนำเสนอข้อคิดเห็นกับรัฐบาล ซึ่งได้เป็นข้อเสนอหลัก 5 ข้อที่รัฐบาลใช้หารือกับสหรัฐฯ แต่ยังต้องจับตาการพิจารณาภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างรัฐบาลได้ไปหารือกับสหรัฐฯ หวังว่าจะมีผลเชิงบวกด้านภาษีสำหรับประเทศไทย เพื่อจะได้ให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ 
  • เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนแรงลง กกร. คาดทั้งปี 2568 ขยายตัวในระดับต่ำราว 1.5-2.0% โดยจะเติบโตใกล้เคียง 2.0% (หากอัตราภาษีที่ไทยโดนเรียกเก็บยังอยู่ที่ 10% ในครึ่งปีหลัง) แต่อาจลดมาเหลือ 1.5% (หากโดนสหรัฐฯ เรียกเก็บที่ 18% หรือครึ่งหนึ่งของอัตรา Reciprocal Tariff) ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลง เป็นต้น
  • สรุปวันนี้ปัญหาของประเทศไทย มีบริบทสำคัญอยู่ 2 ข้อ ได้แก่ 1) ความชัดเจนของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ของแต่ละกระทรวงให้ขับเคลื่อนประเทศ 2) โครงสร้างของเศรษฐกิจไทยและโครงสร้างประชากร ที่ยังไม่มีการปรับตัวให้ทันสมัยกับบริบทสังคมโลก
  • ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา โดยได้ยกตัวอย่าง ปัญหาแรงงานต่างด้าวกัมพูชา ที่มีอยู่ในประเทศไทย ประมาณ 1 ล้านคนที่ถูกกฎหมาย ซึ่งการทำงานด้านแรงงานและความเป็นอยู่เชื่อมั่นว่าแรงงานต่างด้าวกัมพูชาจะไม่กลับประเทศ ถึงแม้อนาคตจะขาดแคลนแรงงานกลุ่มนี้ก็จะมีแรงงานเข้ามาทดแทนเพิ่มเติม

ทั้งนี้ หอการค้าไทย ยินดีสนับสนุนการดำเนินงานโดยมีกลไกขับเคลื่อนส่งเสริมเศรษฐกิจและยกระดับผู้ประกอบการ ภายใต้นโยบาย Unlocking New Growth พร้อมยกระดับผ่านแนวคิด ประกอบด้ว

  1. Business Transformation: นวัตกรรม, Digital, AI, Robot, ESG
  2. Reskill / Upskill: พัฒนา Talent Ecosystem ร่วมรัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา
  3. SME Empowerment: สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ, ลดภาษี, ส่งเสริมการจับคู่ธุรกิจ
  4. สร้างความเชื่อมั่นในห่วงโซ่อุปทานโลก ผ่านการตั้งกลไกความร่วมมือไทยกับนานาประเทศ, ศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร หรือ ศูนย์ AFC ที่มีความสำเร็จเป็นรูปธรรมในการช่วยเกษตรกร โดยปี 2567 ช่วยกระจายผลผลิตเกษตรกว่า 218,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท

ดร.พจน์ เน้นย้ำว่า “สิ่งสำคัญ คือ การสร้างความเชื่อมั่น มั่นใจให้กับทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งบูรณาการลดขั้นตอนกฎหมาย กฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเอกชน ประชาชน และประเทศชาติ