SMART to Know: เคล็ดลับการอ่านงบการเงิน ฉบับผู้ประกอบการมือใหม่ ep.1

          สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่หลายคน การเห็น “งบการเงิน” ครั้งแรกอาจรู้สึกเหมือนกำลังเปิดหนังสือภาษาต่างดาว ไม่รู้จะเริ่มอ่านตรงไหน และไม่แน่ใจว่าตัวเลขเหล่านั้นกำลังบอกอะไรกับเรา แต่จริงๆ แล้ว งบการเงินไม่ได้เข้าใจยากอย่างที่คิด ถ้าเรารู้หลักพื้นฐานและมองมันให้เหมือนเครื่องมือที่ช่วยเล่าเรื่องราวของธุรกิจ ซึ่งจริง ๆ แล้ว งบการเงินก็เหมือน “รายงานสุขภาพของธุรกิจ” ที่ช่วยบอกว่า ธุรกิจเรายังแข็งแรงดีไหม มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า กำลังจะเติบโตหรือกำลังจะสะดุด การอ่านงบการเงินจึงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เราตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ไม่ใช่ใช้แค่ความรู้สึกหรือการคาดเดา

งบการเงิน คืออะไร?

          งบการเงิน คือ เอกสารที่สรุปภาพรวมของธุรกิจด้วยตัวเลข คล้ายกับการบันทึกรายรับ-รายจ่าย แต่มีความละเอียดและเป็นระบบมากกว่า โดยจะช่วยให้เราเห็นว่าในรอบปีที่ผ่านมา ธุรกิจของเราดำเนินไปอย่างไร ซึ่งข้อมูลสำคัญในงบการเงินมี 3 เรื่องหลัก คือ
•    ผลการดำเนินงาน (ความสามารถในการทำกำไร)
•    สถานะทางการเงิน (ความมั่นคงและสภาพฐานะของกิจการ)
•    กระแสเงินสด (ความสามารถในการจัดการเงินสด)
          โดยทั่วไป งบการเงินจะแสดงตัวเลขเปรียบเทียบ 2 ปี เพื่อให้เห็นแนวโน้มของธุรกิจ เช่น งบการเงินของปี 2567 จะแสดงตัวเลขของปี 2567 เทียบกับปี 2566 ยกเว้นกรณีที่เป็นปีแรกของการจัดตั้งบริษัท ก็จะมีเฉพาะปีปัจจุบันเท่านั้น


4 ประเภทหลัก ของงบการเงิน

          งบการเงินหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก เพราะแต่ละงบให้ข้อมูลคนละมุมกัน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะช่วยให้เห็นภาพรวมธุรกิจได้ชัดเจนขึ้นดังนี้
1.    งบกำไรขาดทุน (Statement of Income) แสดงรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรหรือขาดทุนของธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้รู้ว่า ธุรกิจหาเงินได้จากกิจกรรมอะไรใช้จ่ายอะไรไปบ้าง สุดท้ายแล้วมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไร

2.    งบฐานะการเงิน (Statement of Financial Position) หรือ งบดุล (Balance Sheet) แสดงสถานะทางการเงินด้วยทรัพย์สิน หนี้สิน และทุน ณ วันใดวันหนึ่ง โดยบอกว่า ธุรกิจมีทรัพย์สินอะไรบ้างหนี้สินที่ต้องจ่ายในอนาคตเหลือเท่าไหร่ เจ้าของนำเงินมาลงทุนไว้เท่าไรแล้ว

3.    งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ (Statement of Changes in Equity) แสดงการเปลี่ยนแปลง “เงินของเจ้าของ” ว่าผู้ที่ได้นำเงินมาลงทุนในธุรกิจมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น ทุนเริ่มต้น และกำไรสะสมที่ผ่านมา ถ้าทำกำไรเพิ่ม ส่วนของเจ้าของจะเพิ่ม ถ้าขาดทุน ส่วนนี้ก็จะลดลง (ห้างหุ้นส่วน ไม่จำเป็นต้องจัดทำงบการเงินประเภทนี้ตามกฎหมาย)

4.    งบกระแสเงินสด (Statement of Cash Flows) แสดงการ “รับเงิน” และ “จ่ายเงิน” ของธุรกิจโดยแยกตาม 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่

  • กิจกรรมดำเนินงาน (เช่น ขายของ รับเงินจากลูกค้า)
  • กิจกรรมลงทุน (เช่น ซื้ออุปกรณ์ สร้างโรงงาน)
  • กิจกรรมจัดหาเงิน (เช่น กู้เงิน หรือจ่ายคืนเงินกู้)

          งบกระแสเงินสดนี้จะช่วยให้เรารู้ว่า เงินสดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในแต่ละปีมาจากอะไร เช่น เงินลดลงเพราะขายสินค้าได้เยอะแต่เก็บเงินไม่ได้ ใช้เงินลงทุนสร้างโรงงานเพื่อผลิตสินค้าในอนาคต คืนเงินที่มีไปชำระเงินที่กู้ยืมมา ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ งบกระแสเงินสดไม่ใช่งบที่ทุกกิจการต้องทำเสมอไป โดยเฉพาะนิติบุคคลที่ไม่ใช่บริษัทมหาชน นักบัญชีอาจไม่ได้จัดทำงบประเภทนี้ให้ก็ได้

          นอกจาก 4 งบหลักนี้แล้ว ยังมีอีกเอกสารหนึ่งที่มักแนบมากับงบการเงินทุกปี คือ หมายเหตุประกอบงบการเงิน (Notes to Financial Statements: NFS) ซึ่งเป็นเอกสารที่ควรอ่านควบคู่กันเสมอ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมและรายละเอียดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเอกสารนี้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมที่ไม่สามารถใส่ไว้ในงบหลักได้ เช่น กิจการทำธุรกิจประเภทใด ใช้มาตรฐานใดในการทำบัญชี รายละเอียดตัวเลข เช่น ลูกหนี้รายใหญ่ หรือเงินลงทุนแต่ละประเภท


“งบกำไรขาดทุน” สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้

          งบกำไรขาดทุน จะแสดงผลการดำเนินงาน โดยมีสมการง่าย ๆ คือ รายได้ - ค่าใช้จ่าย = กำไร(ขาดทุน) แต่ก่อนที่จะมาถึงเรื่องวิธีการอ่านงบกำไรขาดทุน เรามาทำความเข้าใจในแต่ละเรื่องกันก่อน


 


รายได้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

  1. รายได้หลัก คือ รายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการตามที่ได้ระบุวัตถุประสงค์ตอนจดทะเบียนนิติบุคคล เช่น ธุรกิจขายเสื้อผ้า จะมีรายได้หลักคือรายได้จากการขายสินค้า หรือธุรกิจรับตัดผม รายได้หลักคือรายได้จากการให้บริการตัดผม ซึ่งใน 1 ธุรกิจอาจมีรายได้หลักที่หลากหลาย เช่น 1 ธุรกิจทำทั้งขายเสื้อผ้ าและให้บริการตัดผม เป็นต้น
  2. รายได้อื่น คือ รายได้ที่มิใช่รายได้หลัก เช่น ดอกเบี้ยรับจากเงินฝากธนาคาร กำไรจากการขายเก้าอี้ออฟฟิศที่ไม่ได้ใช้แล้ว เป็นต้น

          การแบ่งรายได้นี้ จะช่วยให้รู้ว่าเงินเข้ามาจากอะไร และธุรกิจเราแข็งแรงจริงหรือไม่

ค่าใช้จ่าย แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ

  1. ต้นทุนขายหรือต้นทุนให้บริการ คือ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับรายได้ เช่น ถ้าขายเสื้อผ้า ต้นทุนคือค่าซื้อเสื้อผ้า ถ้าให้บริการตัดผม ต้นทุนคือค่าแรงช่าง ค่าวัสดุอุปกรณ์ในการตัดผม เป็นต้น
  2. ค่าใช้จ่ายในการขาย คือ ค่าใช้จ่ายที่ส่งเสริมให้เกิดการขาย เช่น ค่าโฆษณายิงแอด ค่านายหน้า ค่าทำการตลาดให้คนรู้จักสินค้า เป็นต้น
  3. ค่าใช้จ่ายในการบริหาร คือ ค่าใช้จ่ายหลังบ้านในการทำธุรกิจ เช่น ค่าทำบัญชี เงินเดือนผู้บริหาร ค่าเช่าออฟฟิศ ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น
  4. ค่าใช้จ่ายอื่น เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่กลุ่มข้างต้น เช่น ขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใข้งานแล้ว หรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
  5. ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ เป็นค่าใช้จ่ายที่แยกออกมาจากค่าใช้จ่ายข้างต้น เนื่องจากต้องการเห็นรายการนี้อย่างชัดเจนว่ามีต้นทุนทางการเงิน (เช่น ดอกเบี้ยจ่าย) และภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เกิดขึ้นมีจำนวนเงินเท่าไหร่

          ตัวเลขค่าใช้จ่ายนี้ จะช่วยให้เจ้าของกิจการเข้าใจว่าเงินของตัวเองหมดไปกับเรื่องอะไร และควรปรับตรงไหนบ้างเพื่อให้มีกำไรมากขึ้น 

กำไร ในงบกำไรขาดทุน ไม่ได้มีแค่ตัวเลขกำไรสุทธิเพียงบรรทัดเดียว แต่มีการแสดงกำไรหลายระดับ

  1. กำไรขั้นต้น แสดงจำนวนรายได้หลักหักต้นทุนขายหรือให้บริการ เพื่อใช้ดูว่าขายของหรือให้บริการแล้วเหลือกำไรเท่าไหร่ก่อนหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ถ้ากำไรขั้นต้นน้อยอาจมีปัญหา เช่น ราคาขายต่ำเกินไป หรือซื้อสินค้าราคาสูงเกินจำเป็น
  2. กำไรก่อนต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ แสดงจำนวนรายได้ทั้งหมด หัก ค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ยกเว้นดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้) เพื่อใช้ดูว่าธุรกิจทำกำไรจากการดำเนินงานปกติมากน้อยแค่ไหน โดยไม่รวมภาระดอกเบี้ยจากการกู้ และภาษีที่ต้องจ่าย
  3. กำไรก่อนภาษีเงินได้ แสดงจำนวนรายได้ทั้งหมด หัก ค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ยกเว้นภาษีเงินได้) เพื่อใช้ดูว่าแม้จะมีดอกเบี้ยจ่ายแล้ว ยังเหลือกำไรก่อนเสียภาษีเท่าไหร่ ถ้าเห็นว่ากำไรระดับนี้เยอะ แต่สุดท้ายกำไรสุทธิน้อย อาจเพราะภาษีที่ต้องจ่ายสูง หรือมีค่าใช้จ่ายที่กฎหมายภาษีไม่ยอมให้นำมาหัก (ค่าใช้จ่ายต้องห้ามทางภาษี)
  4. กำไรสุทธิ แสดงจำนวนรายได้ทั้งหมด หัก ค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายและภาษี เป็นกำไรสุดท้ายที่แท้จริงของธุรกิจ เพื่อใช้ดูภาพรวมว่า “สุดท้ายแล้ว ธุรกิจเหลือเงินกำไรเท่าไหร่”

          การอ่าน “งบกำไรขาดทุน” ทำให้เราเข้าใจลักษณะของรายได้ ค่าใช้จ่าย ที่ทำให้ธุรกิจกำไรหรือขาดทุน เช่น ค่าใช้จ่ายในการบริหารสูงมากจนทำให้ธุรกิจขาดทุน ผู้ประกอบการก็ควรเจาะลึกเข้าไปว่าค่าใช้จ่ายอะไรที่อยู่ในกลุ่มค่าใช้จ่ายบริหารที่สูง เพื่อหาทางแก้ไขในอนาคตได้ ตรงกันข้ามเราอาจพบว่ามีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ธุรกิจจ่ายน้อยเกินไป ซึ่งถ้าจ่ายเพิ่มอาจทำให้รายได้เพิ่มขึ้นได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา เป็นต้น


“งบดุล” อีกสิ่งที่ต้องเข้าใจ

          “งบฐานะการเงิน” หรือ “งบดุล” จะแสดงสถานะทางการเงินของธุรกิจ โดยมีสมการง่าย ๆ คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ แปลความก็คือ “สินทรัพย์” คือสิ่งที่ธุรกิจมีอยู่ เช่น เงินสด สินค้า หรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งจะมาจากเงิน 2 แหล่ง คือ หนี้สิน (เงินที่กู้เขามา) กับส่วนของเจ้าของ (เงินของเจ้าของธุรกิจเอง)


 
 

สินทรัพย์ จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งจะทำให้ธุรกิจทราบว่า ในระยะสั้นมีสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อใช้หมุนเวียนเพียงพอหรือไม่ โดย 2 กลุ่มดังกล่าว ได้แก่
1.    สินทรัพย์หมุนเวียน คือ ทรัพย์ที่คาดว่าจะใช้/เปลี่ยนเป็นเงินได้ภายใน 1 ปี เช่น เงินสดในมือ หรือเงินฝากธนาคาร ลูกหนี้การค้า (การขายสินค้า/บริการ แต่ยังไม่ได้รับเงิน) สินค้าคงเหลือ (สินค้าที่ซื้อมาแต่ยังไม่ได้ขาย คงค้างอยู่ในคลัง) เงินให้กู้ยืมระยะสั้น (เงินของธุรกิจที่เหลือและให้คนอื่นยืม)
2.    สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน คือ ทรัพย์ที่คาดว่าจะใช้/เปลี่ยนเป็นเงินนานกว่า 1 ปี เช่น ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ (อาทิ โต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในธุรกิจ) เงินให้กู้ยืมระยะยาว (เงินของธุรกิจที่เหลือและให้คนอื่นยืม)

หนี้สิน จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.    หนี้สินหมุนเวียน คือ หนี้ที่คาดว่าจะชำระภายใน 1 ปี เช่น เจ้าหนี้การค้า (การซื้อสินค้า/บริการและยังไม่ได้จ่ายเงิน) เงินเบิกเกินบัญชี เงินกู้ยืมระยะสั้น (เงินไม่พอ และไปกู้ยืมจากคนอื่น)
2.    หนี้สินไม่หมุนเวียน คือ หนี้ที่คาดว่าจะชำระนานกว่า 1 ปี เช่น เงินให้กู้ยืมระยะยาว (เงินไม่พอ และไปกู้ยืมจากคนอื่น) เงินที่ต้องจ่ายให้พนักงานเมื่อครบอายุเกษียณ

          การแบ่งประเภทหมุนเวียนและไม่หมุนเวียน จะทำให้ธุรกิจทราบว่าในระยะสั้นมีหนี้สินที่ต้องชำระเท่าใด ซึ่งสามารถนำไปเทียบกับยอดสินทรัพย์หมุนเวียนว่ามีสินทรัพย์ระยะสั้นเพียงพอในการชำระหนี้สินระยะสั้นหรือไม่ ถ้าสินทรัพย์หมุนเวียนน้อยกว่าหนี้สินหมุนเวียน ธุรกิจต้องรีบวางแผนหาเงินเพิ่มเติม เพื่อให้ไม่ให้ธุรกิจสะดุดจากการขาดสภาพคล่อง

ส่วนของเจ้าของ แสดงเงินหรือทรัพย์สินที่เจ้าของธุรกิจใส่เข้ามาในกิจการ รวมถึงกำไรที่ธุรกิจสะสมไว้ ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ
1.    ทุน คือ เงินหรือทรัพย์สินที่นำมาลงทุนในธุรกิจ แบ่งเป็น ทุนจดทะเบียน (จำนวนเงินสูงสุดที่เจ้าของระบุไว้ว่าจะลงทุนในธุรกิจ) และทุนที่ชำระแล้ว (จำนวนเงินจริงที่เจ้าของได้นำมาใส่ในธุรกิจแล้ว)
2.    กำไร(ขาดทุน)สะสม หมายถึง กำไร(ขาดทุน)ที่ธุรกิจทำได้ตั้งแต่เปิดกิจการจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจะมีแบบที่จัดสรรแล้ว (กำไรที่ถูกกันไว้ใช้ในวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น กันไว้เพื่อขยายกิจการ หรือกันไว้ตามที่กฎหมายกำหนดเมื่อมีการจ่ายเงินปันผล) และแบบที่ยังไม่ได้จัดสรร (กำไรที่ยังไม่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ ใช้หมุนเวียนในธุรกิจได้ตามต้องการ)

          การอ่านงบฐานะการเงิน (งบดุล) จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจว่าเงินทุนที่ธุรกิจใช้มาจากเจ้าของมากน้อยแค่ไหน เทียบกับเงินที่กู้ยืมมา รวมถึงวางแผนการบริหารธุรกิจในอนาคต เช่น จะใช้กำไรสะสมต่อยอดอย่างไร หรือควรกันสำรองเพื่อเป้าหมายใดบ้าง


งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ

          งบการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ แสดงให้เห็นว่า “เงินลงทุนของเจ้าของ” และ “กำไรสะสม” มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรตลอดทั้งปี ซึ่งงบนี้นี้ถือเป็นเครื่องมือสะท้อนความมั่นคงของธุรกิจทั้งในมุมมองระยะสั้นและระยะยาว หากเรารู้วิธีดูงบนี้ จะช่วยวางแผนการลงทุน การถอนทุน และการจัดการกำไรได้ดียิ่งขึ้น โดยมีสมการง่าย ๆ คือ ส่วนของเจ้าของต้นปี + เพิ่ม(ลด)ทุน + กำไร(ขาดทุน) – จ่ายปันผล = ส่วนของเจ้าของปลายปี


 
การเปลี่ยนแปลงของทุนที่ชำระ
•    ทุนเพิ่มขึ้น: เกิดจากเจ้าของ ใส่เงินหรือทรัพย์สินเพิ่มเข้ามาในธุรกิจ เช่น เติมเงินทุนเพื่อขยายกิจการ
•    ทุนลดลง: เกิดจากเจ้าของ ถอนทุน หรือ ลดทุนจดทะเบียนออก เช่น ปิดกิจการบางส่วนหรือปรับโครงสร้างทุน

การเปลี่ยนแปลงของกำไรสะสม
•    กำไรสะสมเพิ่มขึ้น: เกิดจากธุรกิจมีกำไรสุทธิประจำปี
•    กำไรสะสมลดลง: เกิดจากธุรกิจขาดทุนสุทธิ หรือ มีการจ่ายเงินปันผล ให้กับเจ้าของ

          ส่วนของเจ้าของสะท้อนความมั่งคั่งของธุรกิจ การอ่านงบนี้ทำให้เราเห็นว่า ธุรกิจ “แข็งแรง” หรือ “อ่อนแอ” ทางการเงินแค่ไหน ถ้าธุรกิจมีกำไรต่อเนื่อง และเจ้าของไม่ถอนเงินออกมากนัก ทำให้ส่วนของเจ้าของจะเพิ่มขึ้น สะท้อนว่ากิจการมั่นคงและเติบโต หากธุรกิจมีกำไร แต่เจ้าของจ่ายปันผลทุกปี ทำให้ส่วนของเจ้าของอาจไม่เพิ่มมาก ก็ไม่ได้แปลว่าธุรกิจไม่ดี แต่ถ้าธุรกิจมีผลขาดทุนต่อเนื่อง ทำให้ส่วนของเจ้าของจะค่อย ๆ ลดลง และถ้าติดลบ แสดงว่าธุรกิจเริ่มมีความเสี่ยงสูง

          อย่างไรก็ตาม บางประเภทธุรกิจมักจะมีส่วนของเจ้าของต่ำในช่วงการดำเนินธุรกิจแรก ๆ เช่น กลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพ (startups) เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างนวัตกรรมใหม่ที่คนยังไม่คุ้นเคย ทำให้ช่วงแรก ๆ ของธุรกิจจะต้องลงทุนสูงเพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และต้องทำการตลาดอย่างหนักเพื่อให้คนรู้จักและเปิดใจใช้ ทำให้รายได้จะยังน้อยแต่ค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลให้เกิดผลขาดทุนสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ส่วนของเจ้าของลดลง และวันที่นวัตกรรมเป็นที่รู้จักและแก้ไขปัญหาผู้ใช้ได้จริง บริษัทเหล่านี้จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว

 


ครั้งหน้าเราจะมาต่อในเรื่อง “งบกระแสเงินสด” กับ “หมายเหตุประกอบงบการเงิน” รวมทั้ง 6 เคล็ดลับในการอ่านงบการเงิน (ฉบับผู้ประกอบการมือใหม่) จะเป็นอย่างไรติดตาม ep.2 ในสัปดาห์หน้า

อ้างอิงบทความจาก https://www.peakaccount.com/blog/business/smes/reading-financial-statements-made-easy