TCC On-site Visit at Thai Nippon Rubber โรงงานผลิตถุงยางสัญชาติไทยสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดโลก

TCC On-site Visit @ Thai Nippon Rubber วันที่ 26 มิถุนายน 2568 ณ บริษัท ไทยนิปปอน รับเบอร์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จ.ชลบุรี นำโดยคุณสถาปนะ เลี้ยวประไพ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ SME Development Center และผู้ประกอบการ SMEs เข้าเยี่ยมชมแหล่งผลิตถุงยางอนามัยมาตรฐานสากลที่ส่งออกไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

        ได้รับเกียรติจากคุณก้องภพ ดารารัตนโรจน์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บรรยายถึงที่มาในการก่อต่อบริษัทฯ ช่วงเวลา พ.ศ. 2523 - 2533 ประเทศไทยได้เกิดวิกฤตการติดเชื้อของโรคเอดส์ มีประชากรติดเชื้อทั่วประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอดีตการเข้าถึงองค์ความรู้ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นมีน้อยมาก โดยได้รับการช่วยเหลือจากคุณมีชัย วีระไวทยะ ได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิธีการสื่อสารเรื่องโรคเอดส์ในระดับชาติ และรณรงค์ป้องกันที่มีส่วนสำคัญหลายเรื่อง มีส่วนในการแนะนำให้ก่อตั้งบริษัทขึ้นมา ในวันที่ 29 กันยายน 2536 โดยตระกูลดารารัตนโรจน์ เพื่อผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยขนาดประชากรชาวเอเชีย โดยมีโรงงานแห่งแรกที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ด้วยกำลังการผลิต 60 ล้านชิ้นต่อปี ตลอด 30 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนานวัตกรรมและกำลังการผลิตไปที่ 2,000 ล้านชิ้นต่อปี

        โดยคุณก้องภพได้อธิบายถึงสาเหตุของการเติบโตอย่างต่อเนื่องของยอดขายของผลิตภัณฑ์ที่สวนทางกับประชากรไทยที่มีจำนวนลดลง ด้วยสาเหตุหลังดังนี้

  • การตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพทางเพศและป้องกันการแพร่กระจายของโรค การมีความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยง วิธีการป้องกัน และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากในปัจจุบันองค์ความรู้สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น มีการให้ความรู้กับกลุ่มเด็กๆที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น ทำให้ถุงยางอนามัยเป็นตัวเลือกต้นๆที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กัน
  • Function and Innovation ปัจจุบันนี้การเลือกใช้ถุงยางอนามัยไม่ได้เป็นแค่สินค้าที่ใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อเพียงอย่างเดียว ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ถุงยางอนามัยที่มี Function, Innovation ต่างๆที่ช่วยให้มีประสบการณ์ในช่วงเวลาทำกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มได้ดี
  • การมาของ E-commerce ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆของสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อได้ดีขึ้น โดยปกติแล้วสินค้าจะถูกจัดวางบริเวณแคชเชียร์เช็คตามร้านสะดวกซื้อ ทำให้เวลาผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อจะเกิดความเขินอาย หรือจำเป็นต้องซื้อสินค้าอย่างอื่นร่วมด้วย แต่การมาของ E-commerce สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด สั่งซื้อสินค้าได้แบบไม่เขินอาย และบรรจุภัณฑ์ยังเมหาะแก่การขนส่งในปริมาณครั้งละมากๆ ทั้งสามปัจจัยนี้จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมจำนวนประชากรที่ลดลงยังทำให้ยอดขายถุงยางอนามัยยังคงสูงขึ้น


        ซึ่งข้อมูลข้างต้นที่กล่าวมาก็สอดคล้องกับข้อมูลของตลาดถุงยางอนามัยทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 13.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐใน และคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 26.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2035 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ประมาณ 6-8% ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2035 ทำให้แนวโน้มการเติบโตของตลาดถุงยางอนามัยยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ในปัจจุบัน Thai Nippon Rubber มีสัดส่วนรายได้หลักมาจาก 3 ทางหลักคือ

  • การผลิตภายใต้แบรนด์ของบริษัท (OBM): คือการผลิตและจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทเอง เช่น ONETOUCH, PLAYBOY ซึ่งจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การรับจ้างผลิต (OEM): คือการรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นตามความต้องการของลูกค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • ธุรกิจประมูล (Tender): คือการเข้าร่วมประมูลการผลิตถุงยางอนามัยกับองค์กรภาครัฐและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGOs) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนแคมเปญด้านสุขภาพต่างๆ

ในสามช่องทางหลักนี้การ OEM ถือเป็นรายได้หลักราวๆ 70% ของบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่บริษัทที่ทำการจ้างผลิตสินค้ามาจากต่างประเทศ พัฒนาสินค้าในปัจจุบันได้กว่า 400 SKU นับว่าเป็นจุดแข็งของบริษัท Thai Nippon Rubber ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมการผลิต มาตรฐานต่างๆที่ทั่วโลกยอมรับ หลักการของผู้บริหารที่ทำอะไรต้องทำให้สุด และการอัพเดทความต้องการของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้มีศักยภาพพร้อมที่จะผลิตสินค้าจากคู่ค้าได้จากทั่วประเทศ เป็นแนวทางให้ SMEs ได้นำองค์ความรู้ต่างๆไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้เป็นอย่างดี