ส่องประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 2568 ล่าสุด แต่ละสำนักมองอย่างไร?

เศรษฐกิจไทยปี 2568 สัญญาณชีพที่ “แผ่วเบา” ในโลกที่ “เปลี่ยนแรง”

ประเทศไทยในปี 2568 ภายใต้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่เพียงแต่จากปัจจัยภายในประเทศที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรง แต่ยังต้องเผชิญแรงกระแทกจากเวทีโลกที่แปรเปลี่ยนเร็วและรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ โดยเฉพาะการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งได้นำพานโยบาย “America First” กลับเข้าสู่กระแสหลักอีกครั้ง พร้อมกับประกาศใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) กับหลายประเทศทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นโยบายดังกล่าวทำให้ไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออก ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะเดียวกัน เมื่อหันกลับมามองภายในประเทศ เราจะพบว่าสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงแผ่วเบาอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน การคาดการณ์จาก 12 สถาบันเศรษฐกิจชั้นนำทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับอัตราการเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 สะท้อนภาพความเป็นจริงที่ยากจะมองในแง่บวก ค่าเฉลี่ยของตัวเลขทั้งหมดอยู่ที่เพียงร้อยละ 2.1 เท่านั้น โดยมีบางสถาบัน เช่น IMF และ World Bank คาดการณ์ต่ำเพียง 1.6–1.8% ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมองอยู่ที่ 2.0% แม้หน่วยงานอย่างสภาพัฒน์จะยังประเมินกรอบการเติบโตในช่วง 2.3–3.3% แต่ก็เป็นกรอบที่ต้องอาศัยปัจจัยบวกหลายด้านเกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งในบริบทเศรษฐกิจโลกปัจจุบันดูจะเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ

การเติบโตในระดับต่ำเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การ “ชะลอ” ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังอ่อนแรง

การลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ซึ่งส่วนใหญ่ Wait and See  จากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน การบริโภคภาคครัวเรือนยังถูกบั่นทอนจากภาระหนี้สิน ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐยังเป็นที่พึ่งที่สำคัญ นี่คือเครื่องยนต์หลักสามตัวของเศรษฐกิจที่ยังทำงานไม่ประสานกัน

ด้านการส่งออกที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนหลักและโชว์ตัวเลขสูงลิ่วในช่วง 3 เดือนแรกของไตรมาส 1 แต่กลับสวนทางกับการคาดการของหลายสถาบันเช่น Krungsri, KKP, BOT และ FPO ที่ประเมินว่าการส่งออกอาจขยายตัวในระดับ 1–3% และยังมีบางสถาบันเช่น KBank และ SCB ที่คาดการณ์ในเชิงลบอย่างชัดเจน ด้วยตัวเลข -0.5% และ -0.4% ตามลำดับซึ่งเป็นสัญญาณที่ควรจับตาอย่างยิ่ง

สิ่งที่น่าวิตกคือการขยายตัวของการส่งออกในช่วงต้นปีที่อาจไม่ได้สะท้อนความต้องการจริงของตลาดโลก แต่เป็นผลมาจากการเร่งสต๊อกสินค้าของผู้นำเข้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ ก่อนนโยบายภาษีใหม่ของทรัมป์จะเริ่มมีผลเต็มรูปแบบ นั่นหมายความว่าการส่งออกอาจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ และผลิตภัณฑ์ยางพารา ดังนั้น ไทยไม่อาจรอรับสถานการณ์เฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่ต้องเร่งจัดตั้ง “ทีมประเทศไทย” ที่ไม่ใช่เพียงเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจากสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เพื่อเผชิญหน้ากับความปั่นป่วนในระบบการค้าโลก (Global Trade Disruption)

ขณะเดียวกัน ตัวเลขเงินเฟ้อที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ในระดับต่ำมากก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉลี่ยแล้วเงินเฟ้อของไทยในปี 2568 ถูกประเมินว่าจะอยู่ระหว่าง 0.4–1.0% เท่านั้น ซึ่งอาจฟังดูน่าพอใจในแง่ผู้บริโภค แต่ในความเป็นจริงแล้วเงินเฟ้อต่ำขนาดนี้สะท้อนถึงความต้องการบริโภคในระบบที่ยังไม่กลับมา การบริโภคที่อ่อนแรงหมายถึงการผลิตที่ชะลอและการลงทุนที่ไม่มีแรงจูงใจ ซึ่งในระยะกลางอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืดที่ยากจะแก้ไขหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อเนื่อง

แม้การท่องเที่ยวจะยังพอเป็นความหวังอยู่บ้าง โดยสถาบันต่างๆ คาดว่าประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่าง 36–38 ล้านคนในปีนี้ แต่ข้อมูลล่าสุดจาก ททท. ระบุว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงถึง 30% ในปีนี้ และหากสถานการณ์เลวร้ายที่สุดยังยืดเยื้อ ไทยอาจมีนักท่องเที่ยวจีนเพียง 4–5 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย 8 ล้านคนอย่างมีนัยสำคัญ แม้ในกรณีที่สามารถฟื้นความเชื่อมั่นได้บ้างก็อาจทำได้แค่ระดับ 6.7 ล้านคน เท่ากับปีที่แล้ว ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการกลับมาของรายได้ระดับก่อนโควิด ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงข้อเท็จจริงว่าไทยไม่สามารถฝากความหวังไว้กับการท่องเที่ยวจีนได้อย่างที่เคยเป็นมา การเปลี่ยนพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีน ภาวะเศรษฐกิจในประเทศเขาเอง และนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยวในประเทศของรัฐบาลจีน ล้วนเป็นปัจจัยที่ไทยไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่ทำได้คือการปรับยุทธศาสตร์อย่างรวดเร็ว เช่น การเร่งเปิดตลาดใหม่ในอินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก รวมถึงการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวมากกว่าการพึ่งพาปริมาณเพียงอย่างเดียว

เมื่อทุกเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังอยู่ในสภาพ “แรงไม่เต็ม” ประเทศไทยจึงอยู่ในภาวะที่ไม่อาจรอให้ “เศรษฐกิจฟื้นตัวเอง” ได้อีกแล้ว

สิ่งที่จำเป็นคือการวางยุทธศาสตร์ใหม่ในระดับโครงสร้าง พร้อมการดำเนินนโยบายที่กล้าหาญ ชัดเจน และไม่ติดกับดักวิธีคิดแบบเดิม การกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศอย่างตรงจุด เช่น การเร่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในทุกภาคส่วน การลดภาระหนี้ให้กลุ่มเปราะบาง และการสนับสนุน SME ที่มีศักยภาพให้สามารถเเข่งขันได้เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มทันที ไม่ใช่เพียงแค่นโยบายที่ยังจับต้องได้ไม่ชัดเจน

 

ดังนั้น ปี 2568 จึงไม่ใช่ปีแห่งการฟื้นตัวตามธรรมชาติ แต่ประเทศไทยต้อง “ขยับอย่างมีทิศทาง” หากเราปล่อยให้เศรษฐกิจอยู่ในสภาวะแผ่วเบาต่อไป ความเสียหายอาจลุกลามไปยังความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ แรงงาน และการลงทุนระยะยาว ซึ่งจะยิ่งลดศักยภาพของไทยในการแข่งขันในเวทีโลกในทศวรรษหน้า

 

ที่มา: กกร.และสมาคมธนาคารไทย

บทความโดย: ฝ่ายนโยบายยุทธศาสตร์ หอการค้าไทย

ข่าวอื่นๆ